คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท พร้อมส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย จำเลยทั้งสี่จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยตามคำพิพากษาถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติ โจทก์ย่อมขอให้บังคับให้ปฏิบัติได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 เบญจ โดยไม่จำต้องยื่นคำร้องขอให้เพิ่มเติมคำว่า “รื้อถอน” ลงในคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกา พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ขับไล่จำเลยทั้งสี่พร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ พร้อมส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อย และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ และส่งมอบคืนให้โจทก์ จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสี่ออกไปจากที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่าการที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไปดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยในที่ดินพิพาท เป็นการเกินคำสั่งและคำพิพากษาของศาล ยกคำร้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างของจำเลยทั้งสี่ออกจากที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วให้ยกคำร้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เพิ่มเติมคำว่า “รื้อถอน” ลงในคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143 เพื่อที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะได้ดำเนินการบังคับคดีตามมาตรา 296 เบญจ
ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “พิเคราะห์แล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยทั้งสี่ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท พร้อมส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยทั้งสี่ปลูกสร้างโรงเรือนบนที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสี่จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท พร้อมส่งมอบคืนให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยตามคำพิพากษาอยู่แล้ว ถ้าจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติ โจทก์ย่อมขอให้บังคับให้ปฏิบัติได้ โดยกรณีไม่จำต้องดำเนินการตามที่โจทก์ขอ ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ”

Share