คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 879/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2507 เป็นต้นไปแต่ทั้งนี้จะไม่ค้างให้เกิน 6 เดือน ส่วนเงิน 5,000 บาทที่จำเลยจะต้องชำระให้ในเดือนพฤศจิกายน 2506 โจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนระยะเวลาไปไม่เกิน 6 เดือน ดังนี้ มิใช่แปลงหนี้ใหม่
เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ต่อไป ถ้าเป็นจริงย่อมมีผลผูกมัดโจทก์ ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ จำเลยย่อมนำพยานบุคคลเข้าสืบได้ (อ้างฎีกาที่ 782/2503)
จำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีไว้ชัดแจ้งแล้ว การจะปรับเข้าบทกฎหมายใด ย่อมตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาใช้เอง (อ้างฎีกาที่ 183/2486)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน กู้เงินโจทก์ไปหลายครั้งและผิดนัดไม่ชำระให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 12 ตุลาคม 2506 จำเลยทั้งสองทำหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเงิน 46,750 บาท โดยจำเลยผ่อนชำระในวันทำสัญญาหนังสือรับสภาพหนี้ 5,000 บาท ที่เหลือจำเลยขอผ่อนชำระในเดือนพฤศจิกายน 2506 เป็นเงิน 5,000 บาท และเดือนต่อ ๆ ไป เดือนละ 1,000 บาท หากผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี บัดนี้ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงิน 5,000 บาท ภายในเดือนพฤศจิกายน 2506 และไม่ชำระเดือนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือนแล้ว ขอให้ศาลบังคับให้ชำระเงินต้น 41,750 บาทพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 3,131.25 บาท และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากวันที่ 1 มิถุนายน 2507 และค่าเสียหายในการทวงถาม ฯลฯ อีก 300 บาท

จำเลยให้การว่า มูลหนี้หาใช่มูลหนี้อันเกิดจากการกู้เงินไม่หากแต่เกิดด้วยโจทก์ดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ในข้อหาออกเช็คไม่มีเงินในชั้นศาล โจทก์ถอนคำร้องทุกข์โดยให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ เมื่อจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ว่า โจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่เดือนมกราคม 2507เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้จะไม่ค้างให้เกิน 6 เดือน ส่วนเงิน 5,000 บาทที่จำเลยจะต้องชำระให้ในเดือนพฤศจิกายน 2506 โจทก์ตกลงให้จำเลยผ่อนระยะเวลาไปไม่เกิน 6 เดือน นับแต่เดือนมกราคม 2507 เป็นต้นมา บัดนี้ยังไม่ครบกำหนด จำเลยไม่ผิดนัด

ในวันนัดพร้อม ทนายจำเลยแถลงว่าข้อตกลงใหม่มิได้ทำเป็นหนังสือศาลสั่งให้งดสืบพยาน

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อตกลงไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 41,750 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อต่อสู้ของจำเลยนั้นไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นชอบแล้ว แต่ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าเป็นจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าโจทก์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ได้ต่อไปนั้นแล้ว ย่อมมีผลผูกมัดโจทก์ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือ นำพยานบุคคลเข้าสืบได้ หาใช่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารแต่ประการใดไม่ (อ้างฎีกาที่ 782/2503)ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าการผ่อนผันระหว่างกันไม่มีผลผูกมัดโจทก์ให้จำต้องปฏิบัติตามนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา

ตามที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มุ่งไปในทางว่าข้อตกลงนั้นเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ไม่ใช่เป็นการผ่อนเวลานั้น ศาลฎีกาจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยได้หรือไม่ เห็นว่า จำเลยได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีไว้ชัดแจ้งแล้ว การจะปรับเข้าบทกฎหมายใด ย่อมตกเป็นหน้าที่ของศาลที่จะยกมาใช้เอง (อ้างฎีกาที่ 183/2486) จึงรับวินิจฉัยให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ

พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาสืบพยานตามข้อต่อสู้ของจำเลยต่อไป แล้วพิพากษาใหม่

Share