แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ความว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายเริ่มก่อเหตุ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ของจำเลยเสียหลักล้มลง ผู้ตายวิ่งเข้าหาจำเลย จำเลยวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตามไป ครั้นเมื่อวิ่งไปทันผู้ตายวิวาทชกต่อยจำเลย ต่อมาจึงถูกจำเลยกับพวกใช้อาวุธมีดฟันและแทงจนถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทกับจำเลยจึงมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอในคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 288, 371 และบวกโทษของจำเลยที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 26/2557 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ระหว่างพิจารณา นางพิมไพ มารดาของนายธานินทร์หรืออาร์ม ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหาร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหายจึงไม่อนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ 200,000 บาท ค่าขาดไร้อุปการะปีละ 250,000 บาท ระยะเวลา 22 ปี เป็นเงิน 5,500,000 บาท รวมเป็นเงินค่าสินไหมทดแทน 5,700,000 บาท
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า ค่าสินไหมทดแทนสูงเกินไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 (เดิม), ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ (ที่ถูก 16 ปีเศษ) รู้ผิดชอบแล้ว ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ประกอบมาตรา 18 วรรคสาม ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุก 25 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 50 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี 6 เดือน และปรับ 25 บาท อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) กำหนด 6 ปี หากจำเลยมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ ก่อนได้รับการฝึกอบรมหรือในระหว่างการฝึกอบรมให้ส่งจำเลยไปจำคุกเท่ากับระยะเวลาฝึกอบรมที่เหลือ ส่วนที่โจทก์ขอให้บวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 26/2557 ของศาลนี้ เมื่อคดีนี้ศาลได้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการใช้วิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 142 (1) ซึ่งเป็นวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชน จึงไม่อาจบวกโทษได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้ หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้ส่งตัวไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 2 (จังหวัดราชบุรี) มีกำหนด 1 วัน ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาท แก่โจทก์ร่วม คำขออื่นของโจทก์ร่วมนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์และคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมเพียงว่า โจทก์ร่วมมีสิทธิได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด โจทก์และโจทก์ร่วมมีนายยงยศ นายปฐม นายยุทธพลและนายอรรถกานต์ เบิกความทำนองเดียวกันว่า พยานเป็นเพื่อนกับผู้ตาย วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 1 นาฬิกา หลังจากเล่นเกมเสร็จแล้ว พยานกับผู้ตายพากันไปรับประทานอาหาร จากนั้นพากันกลับบ้าน ผู้ตายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายกีรติ ก่อนถึงที่เกิดเหตุกลุ่มพยานขับรถจักรยานยนต์ผ่านนายเพชรกับนายมนัสชัย ซึ่งจอดรถจักรยานยนต์ยืนอยู่ข้างทาง กลุ่มพยานขับเลี้ยวซ้ายไปทางบ้านผู้ตาย จำเลยขับรถจักรยานยนต์สวนมา แล้วรถเสียหลักล้มลง พวกพยานหยุดรถหันไปดู ผู้ตายกระโดดลงจากรถวิ่งเข้าหาจำเลย จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนีไปทางนายเพชรกับนายมนัสชัย ผู้ตายวิ่งตามไป มีการวิวาทชกต่อยและใช้อาวุธมีดแทงกัน โดยนายเพชร นายมนัสชัย และจำเลยใช้อาวุธมีดคนละเล่มฟันและแทงผู้ตาย นายยงยศเบิกความตอบคำถามค้านด้วยว่า เพิ่งทราบภายหลังว่าผู้ตายกับกลุ่มของจำเลยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน นายยุทธพลเบิกความว่า เมื่อผู้ตายวิ่งไปถึงตัวจำเลย ผู้ตายเข้าไปชกต่อยจำเลย จากนั้นนายเพชรกับนายมนัสชัยใช้อาวุธมีดแทงผู้ตาย นายปฐมให้การชั้นสอบสวนว่าผู้ตายชกต่อยจำเลย ส่วนจำเลยเบิกความเพียงว่าเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขั้น เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมเองได้ความว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายเริ่มก่อเหตุ เมื่อเห็นรถจักรยานยนต์ของจำเลยเสียหลักล้มลง ผู้ตายวิ่งเข้าหาจำเลย จำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ไป ครั้นวิ่งไปทันผู้ตายวิวาทชกต่อยจำเลย ต่อมาจึงถูกจำเลยกับพวกใช้อาวุธมีดฟันและแทงจนถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ตายสมัครใจเข้าวิวาทกับจำเลยจึงมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายย่อมไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอในคดีอาญา ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ