คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 877/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยกับพวกชักชวนผู้เสียหายทั้งสิบคนและบุคคลอื่นให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัท เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าบริษัท อ. ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการดังกล่าวและการประกอบกิจการตามที่อ้างจะมีขึ้นไม่ได้แน่นอน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบคน และบุคคลทั่ว ๆ ไปไม่จำกัดว่าเป็นใครอันเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยเจตนาทุจริต ทำให้ผู้เสียหายทั้งสิบคน หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไปจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรกและการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินตามพระราชกฤษฎีกา การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 3 และเป็นการชักชวนว่าในการกู้ยืมเงินจำเลยหรือบริษัทอ. จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินที่พึงจ่ายได้ โดยจำเลยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจำเลยหรือบริษัท อ. จะนำเงินจากผู้เสียหายทั้งสิบคน หรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้เสียหายทั้งสิบคน หรือโดยที่จำเลยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจำเลยหรือบริษัท อ. ไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญาได้และเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกหรือบริษัท อ.ได้กู้ยืมเงินไป จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 4,12 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอีกบทหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือ จำเลยกับพวกโดยทุจริตได้หลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนทั่วไปรวมกว่า 10 คนขึ้นไป ด้วยการแสดงข้อความเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยทำการโฆษณา แพร่ข่าว ชักชวนด้วยวาจา และประกาศชักชวนประชาชนทั่วไปตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดตั้งบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด เพื่อสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าไว้เก็งกำไร บริษัทดังกล่าวกำลังขยายการลงทุนและเปิดให้ประชาชนทั่วไปนำเงินมาเข้าร่วมลงทุนโดยไม่จำกัดจำนวนเงิน และจะถอนเงินคืนเมื่อใดก็ได้เพียงแต่บอกกล่าวล่วงหน้า 15 วันผู้เข้าร่วมลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 6 ถึง 9 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ร่วมลงทุนตลอดเวลาที่ร่วมลงทุนอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงิน ความจริงจำเลยกับพวกรู้และควรรู้อยู่แล้วว่าตนมิได้ดำเนินกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าไว้เก็งกำไร และไม่ได้ประกอบกิจการใด ๆ ที่จะให้มีกำไรเพียงพอที่จะนำมาจ่ายเป็นผลประโยชน์ตอบแทนแก่ประชาชนได้ถึงร้อยละ 6 ถึง 9 ต่อเดือน จำเลยกับพวกหลอกลวงระดมเงินทุนจากประชาชนโดยจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้สูงมากเพื่อล่อใจ จากนั้นจำเลยกับพวกนำเงินที่ประชาชนนำมาร่วมลงทุนหมุนเวียนจ่ายเป็นผลประโยชน์ตอบแทนแล้วนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ของตน โดยการหลอกลวงดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายและประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นความจริง นำเงินไปมอบให้จำเลยกับพวกรวมเป็นเงิน 460,000 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343, 83, 91 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 2, 4, 5, 9,12, 15 ให้จำเลยคืนเงิน 460,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ให้แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 (ที่ถูกมาตรา 343 วรรคแรก), 83 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 12 ลงโทษตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก3 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 460,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี โดยแบ่งเฉลี่ยให้แก่ผู้เสียหายแต่ละคนตามที่เสียหายด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเดิมจำเลยรับราชการอยู่ที่กองการร้านค้ากรมสวัสดิการทหารอากาศปลดเกษียณเมื่อปี 2527 บริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2527 ระหว่างวันที่ 21มีนาคม 2528 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2530 มีจำเลยเป็นกรรมการอยู่ด้วยคนหนึ่ง ตามเอกสารหมาย จ.44 ถึง จ.47 ตามวันเวลาวันเกิดเหตุผู้เสียหายทั้ง 10 คน ได้มอบเงินให้แก่จำเลย และเรืออากาศโทสมปองจันทร์หอม ในฐานะจำเลยและพวกของจำเลยเป็นผู้แทนของบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 460,000 บาทมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางบังอร แก้วพลอย เรืออากาศโทหญิงยุพยงค์ ทองรอง หรือสมนึกพันจ่าอากาศเอกสุรพล ศรีนิล นางสมุทร ศรีนิล พันจ่าอากาศเอกวัชระ แพงจันทร์ นาวาอากาศเอกสมบัติ มีฤทธิ์ เรืออากาศตรีสมควร ปั้นแตง ผู้เสียหายทั้ง 7 คน ซึ่งส่วนใหญ่ระหว่างเกิดเหตุรับราชการอยู่ที่กรมสวัสดิการทหารอากาศเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยได้ไปที่กรมสวัสดิการทหารอากาศและพูดชักชวนข้าราชกรมสวัสดิการทหารอากาศรวมทั้งผู้เสียหายทั้ง 7 คน ให้นำเงินไปร่วมลงทุนกับบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด โดยอ้างว่าบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์จำกัด ประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าไว้เก็งกำไร และจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงิน แล้วมอบนามบัตรของจำเลยที่แสดงว่าเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัดให้แก่ผู้สนใจจะร่วมลงทุนไว้ ตามเอกสารหมาย จ.8 จำเลยพูดรับรองว่าบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ร่วมลงทุนร้อยละ 8.5 ต่อเดือน และจำเลยจะกันเงินจำนวน 500,000บาท ถึง 600,000 บาท ไว้คืนให้แก่ผู้ร่วมลงทุนหากการดำเนินกิจการของบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ต้องล้มเลิก นายเสวียง ขวัญจิตนางสุนทรี พวงสุมาลี เรืออากาศโทนันทิชัย นวลจันทร์ ผู้เสียหายอีก 3 คน ก็ถูกเรืออากาศโทสมปอง จันทร์หอม พวกของจำเลยซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัดชักชวนให้นำเงินไปร่วมลงทุนทำนองเดียวกันกับที่จำเลยชักชวนผู้เสียหายทั้ง 7 คนดังกล่าว ผู้เสียหายทั้ง 10 คน มอบเงินให้แก่จำเลยและพวกของจำเลยไปรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 460,000 บาท และในการรับเงินจากผู้เสียหายจำเลยกับพวกได้ทำหนังสือสัญญาจะลงหุ้นให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 10 คนไว้ ตามเอกสารหมาย จ.36 จ.39 จ.16จ.22 จ.2 จ.4 จ.27 จ.53 จ.33 จ.12 และ จ.18 โดยจำเลยกับกรรมการของบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญกระทำการแทนหลายฉบับตามเอกสารหมาย จ.36 จ.39จ.16 จ.2 จ.4 จ.27 จ.53 และ จ.12 นอกจากนี้จำเลยเป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้เสียหายโดยลงชื่อในช่องผู้รับเงินในฐานะกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงิน ตามเอกสารหมาย จ.1 จ.3 จ.11 จ.15จ.17 จ.21 จ.26 จ.32 และ จ.54 หลังจากรับเงินผู้เสียหายทั้ง 10 คนแล้ว บริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามสัญญาให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 10 คน โดยผู้เสียหายที่ได้รับมากที่สุดไม่เกิน 4 เดือน แล้วไม่จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้อีก พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องกัน โดยอ้างเอกสารประกอบคำเบิกความ จึงมีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟัง จำเลยนำสืบปฏิเสธเพียงลอย ๆ ว่าจำเลยมิได้ชักชวนผู้เสียหายทั้ง 10 คน หรือบุคคลอื่นใดให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบคำเบิกความของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟัง ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยและบุตรตลอดทั้งญาติพี่น้องของจำเลยได้นำเงินมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรมาแบ่งปันกันด้วยนั้น จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด สามารถถอนเงินออกมาไม่ให้เกิดความเสียหายได้ การที่จำเลยและบุตรตลอดทั้งญาติพี่น้องของจำเลยนำเงินมาลงทุนในบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัดน่าจะเป็นแผนการหลอกลวงผู้เสียหายทั้ง 10 คน และบุคคลอื่นให้หลงเชื่อนำเงินมาลงทุนเสียอีก พยานหลักฐานจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลยกับพวกได้ชักชวนผู้เสียหายทั้ง 10 คน และบุคคลอื่นให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด และข้อเท็จจริงได้ความตามคำเบิกความของนางน้ำทิพย์ พันไพศาล พยานโจทก์ซึ่งเป็นนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครว่า บริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรเพราะวัตถุประสงค์ดังกล่าวต้องห้ามตามมติคณะรัฐมนตรี นายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้ไม่ได้ การที่จำเลยกับพวกชักชวนผู้เสียหายทั้ง 10 คน และบุคคลอื่นอีกให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อเก็งกำไรทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์จำกัด ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการดังกล่าว และการประกอบกิจการตามที่อ้างจะมีขึ้นไม่ได้แน่นอน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายทั้ง 10 คน และบุคคลทั่ว ๆ ไปไม่จำกัดว่าเป็นใคร อันเป็นการหลอกลวงประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งโดยเจตนาทุจริตจากการหลอกลวงนั้น ทำให้ผู้เสียหายทั้ง 10 คน หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไป จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก และการกระทำของจำเลยกับพวกที่ชักชวนผู้เสียหายทั้ง 10 คน และบุคคลทั่ว ๆ ไป ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เข้าร่วมลงทุนกับบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 3 และเป็นการชักชวนว่าในการกู้ยืมเงินจำเลยหรือบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด จะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินที่พึงจ่ายได้ขณะนั้นไม่เกินร้อยละ16 ต่อปี ตามประกาศกระทรวงการคลัง โดยจำเลยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจำเลยหรือบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด จะนำเงินจากผู้เสียหายทั้ง 10 คน หรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้เสียหายทั้ง 10 คนหรือโดยที่จำเลยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจำเลยหรือบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตราร้อยละ 72 ถึง 108 ต่อปีตามสัญญาได้และเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกหรือบริษัทอินเตอร์คอเร็คท์ จำกัด ได้กู้ยืมเงินไป จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 4, 12 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าวอีกบทหนึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share