แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งกรรมสิทธิ์รวมบ้าน 2 หลัง และรถยนต์ 1 คัน ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันคนละครึ่ง เป็นเรื่องการแบ่งสินสมรสเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในครอบครัว โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์ไม่ดำเนินการขอออกคำบังคับ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความย่อมมีสิทธิร้องขอให้ออกคำบังคับได้
เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า การแบ่งทรัพย์สินให้เป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 คำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมเป็นอันสิ้นผลไปโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไปได้ รวมถึงกรณีที่หากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีเดิมและผลแห่งคำพิพากษาจำต้องมีการบังคับคดีให้แบ่งสินสมรสระหว่างกันอีก จำเลยที่ 1 หรือโจทก์ย่อมสิทธิขอออกคำบังคับใหม่เพื่อให้มีการบังคับคดีต่อไปได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ร้องขอให้เพิกถอนคำบังคับที่จำเลยที่ 1 ร้องขอต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งว่า เนื่องจากศาลพิพากษาให้แบ่งบ้านสวนลลนา จำนวน 2 หลัง และรถยนต์วอลโว่หมายเลขทะเบียน 9ว – 9811 กรุงเทพมหานคร คนละกึ่งหนึ่ง ดังนั้น ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งกันและกันและชอบที่จะขอออกคำบังคับได้ตามกฎหมายทั้งสองฝ่าย เมื่อโจทก์ไม่แบ่งทรัพย์สินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิขอออกคำบังคับได้ตามกฎหมาย กรณีไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งให้ออกคำบังคับ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “เดิมศาลชั้นต้นออกคำบังคับตามคำขอจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ว่า ให้จำเลยที่ 1 แบ่งกรรมสิทธิ์รวมคือบ้านสวนลลนาเลขที่ 444/833 และเลขที่ 444/569 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี รวม 2 หลัง และรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่หมายเลขทะเบียน 9ว – 9811 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันกันคนละครึ่ง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ดำเนินการขอออกคำบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและโจทก์ยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำบังคับที่ออกให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์โดยสั่งในคำร้องดังกล่าวว่า “…ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งกันและกันและชอบที่จะออกคำบังคับได้ตามกฎหมายทั้งสองฝ่าย เมื่อโจทก์ไม่แบ่งทรัพย์สินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิออกคำบังคับได้ตามกฎหมาย…” โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับศาลชั้นต้นโดยให้เหตุผลทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ดำเนินการจัดการแยกทรัพย์สินออกเป็นกึ่งหนึ่งแม้จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และมีคำพิพากษาว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจออกคำบังคับโจทก์ได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 และมาตรา 302 ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีของการแบ่งสินสมรสนี้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในครอบครัวโจทก์และจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้หรือลูกหนี้ต่อกัน เมื่อโจทก์ไม่ดำเนินการขอออกคำบังคับ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับได้แต่เมื่อปรากฏต่อมาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีเดิมเป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในบ้านสวนลลนาเลขที่ 444/833 และเลขที่ 444/569 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี รวม 2 หลัง และรถยนต์วอลโว่หมายเลขทะเบียน 9ว – 9811 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากตกลงไม่ได้ให้ประมูลราคากันระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 แล้วนำเงินมาแบ่งกันแต่หากยังตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ซึ่งว่าด้วยเรื่องการแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวม ดังนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นย่อมเป็นอันสิ้นผลไปโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไปได้รวมถึงกรณีที่หากศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีเดิมและผลแห่งคำพิพากษาจำต้องมีการบังคับคดีให้แบ่งสินสมรสระหว่างกันอีก จำเลยที่ 1 หรือโจทก์ย่อมมีสิทธิขอออกคำบังคับใหม่เพื่อให้มีการบังคับคดีต่อไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำบังคับสิ้นผลแล้ว จึงให้จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเพื่อดำเนินการบังคับคดีให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป”
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาท แทนจำเลยที่ 1