แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภรรยาไปพาโจทก์มาฟ้องคดี จึงต้องถือว่าเป็นการดำเนินคดีของโจทก์เองส่วนผลคดีจะเป็นประโยชน์ต่อใครไม่สำคัญ จะว่าเป็นการดำเนินคดีโดย ไม่สุจริตไม่ได้
หากโจทก์ฟ้องแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มาเบิกความเอง จะอ้างว่าฟ้องไม่ได้เสียเลยหาได้ไม่ เพราะการที่โจทก์ไม่มาเบิกความต่อศาล ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำดังนั้น แล้วแต่โจทก์จะเสนอพยานหลักฐานใดต่อศาล ส่วนการจะฟังได้หรือไม่ ศาลย่อมวินิจฉัยตามพยานหลักฐานและรูปคดี มิใช่ว่าถ้าโจทก์ไม่มาเบิกความเองแล้วฟังไม่ได้เสียเลย
ประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้แต่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยนั้น เมื่อพยานหลักฐานได้สืบกันมาแล้ว ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้ได้โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
การที่โจทก์ตกลงซื้อที่ดินที่พิพาทจากจำเลยและปลูกเรือนให้ภริยาของตนอยู่ในที่พิพาท แล้วก็ทอดทิ้งไปไม่นำพาในเรื่องซื้อขายกับจำเลยอีก เมื่อภริยาโจทก์ไม่ชำระราคาที่ค้าง ยอมให้เอาที่ดินไปขายให้แก่คนอื่นได้ ทั้งให้ขายเรือนให้ด้วย และเมื่อจำเลยฟ้องภรรยาโจทก์ก็ถอนการคัดค้านในการที่จำเลยจะทำนิติกรรมให้กับคนอื่น พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่า คู่กรณีตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันแล้วโดยปริยาย
ในคดีที่โจทก์ฟ้องเพียงให้จำเลยโอนขายที่พิพาทอย่างเดียวมิได้เรียกเงินคืนในการที่โอนขายให้ไม่ได้ ทั้งโจทก์ยังมิได้จัดการให้จำเลยกลับสู่ฐานะเดิมในเหตุเลิกสัญญาจะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำเพราะเหตุเลิกสัญญาในคดีด้วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ตัดสิทธิคู่ความในการดำเนินคดีในผลแห่งการเลิกสัญญา
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอขายที่บ้านของจำเลยให้โจทก์ในราคา 2,000 บาทต่ออำเภอเมือง โดยจำเลยได้รับเงินมัดจำไปจากโจทก์แล้วเป็นเงิน 1,000 บาท แต่ยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์กัน ต่อมาจำเลยกลับนำเอาที่ดินนี้ไปร้องขอขายให้ผู้มีชื่อเสีย นางเขียนภริยาโจทก์ทราบเรื่องจึงคัดค้าน ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยโอนขายที่บ้านตามแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ในราคา 2,000 บาท โดยคิดหักกับเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์แล้ว
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่เคยแสดงเจตนาจะโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ เงินมัดจำไม่เคยรับ เพียงแต่แสดงเจตนาจะยกให้นางเขียนหลานของจำเลยซึ่งลักลอบได้เสียกับโจทก์ เพื่อให้นางเขียนอุปการะเลี้ยงดูจำเลย นางเขียนเคยให้เงินจำเลย 2 ครั้ง รวม 200 บาท และขออาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาท จำเลยอนุญาต ต่อมาโจทก์ได้ขอแบบ ส.ค.1 ของจำเลยไป โดยอ้างว่าจะเอาไปให้เขาดู แล้วไปยื่นเรื่องราวต่ออำเภอ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแบ่งขายลงชื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อและเขียนชื่อจำเลยปลอมลงในเรื่องราวนั้น ยื่นเรื่องราวแล้วโจทก์หายสาปสูญไป เรื่องราวที่โจทก์ไปยื่น จำเลยได้ยื่นคำร้องถอนต่ออำเภอเสียแล้ว จึงเป็นการบอกเลิกสัญญากับโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและต่อสู้ว่าเงินที่นางเขียนให้จำเลย 200 บาท เป็นการให้ตามหน้าที่ศีลธรรม ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตัวโจทก์ไม่ได้มาสาบานตัวเบิกความยืนยันให้เห็นว่าได้ทำสัญญาจะซื้อขายไว้กับจำเลย โจทก์ต้องแสดงว่าได้มีเอกสารสัญญาจะซื้อขายกันจริง โจทก์คงมีแต่นายสำราญเจ้าพนักงานที่ดินมาเบิกความว่า ได้ทำบันทึกไว้หลังคำขอของโจทก์จำเลยเท่านั้นคำของนายสำราญคงฟังประกอบเอกสารว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ตัวความจะต้องอ้างเอกสารมาแสดงต่อศาลแล้วจึงจะฟังได้อีกประการหนึ่งโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแล้วก็ไม่มาเบิกความต่อศาลเลย คงมีแต่นางเขียนภริยาโจทก์ดำเนินคดีแทนตลอดมา นางเขียนเองเคยถูกจำเลยฟ้องต่อศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชในเรื่องที่ไปคัดค้านไม่ให้จำเลยขายที่ดินให้แก่นางสวาทนางเขียนทำยอมไว้แล้ว จะไปถอนคำร้องคัดค้านที่อำเภอในที่สุดก็ไม่ยอมไปถอนกลับนำนายวิสิทธิ์สามีมาฟ้องเป็นคดีใหม่แต่ก็ไม่สามารถนำตัวมาศาลได้ แสดงว่านางเขียนดำเนินคดีเองอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์เองก็ไม่มาติดต่อกับจำเลยจะให้จัดการตามสัญญาซื้อขายอย่างใด จำเลยเคยทวงเงินจากภริยาโจทก์ก็ไม่มีให้ และยอมให้ขายอีกด้วย จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะฟ้องเรียกมัดจำคืน หรือเรียกค่าเสียหาย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยขายที่ดินตามแผนที่ท้ายฟ้องให้โจทก์ในราคา 2,000 บาท โดยคิดหักกับเงินที่จำเลยได้รับไปแล้ว 1,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยในข้อที่โจทก์มิได้มาเบิกความต่อศาลด้วยตนเองเป็นการดำเนินคดีโดยสุจริตหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคำให้การสู้คดีของจำเลยเองก็ยอมรับอยู่แล้วว่า นางเขียนไปพาโจทก์มาฟ้องคดี จึงเป็นการดำเนินคดีของโจทก์เอง ส่วนผลของคดีจะเป็นประโยชน์ต่อใครไม่สำคัญ หากจำเลยแพ้คดีก็ต้องยอมขายที่พิพาทให้โจทก์ การถอนคำคัดค้านก็ไม่จำเป็น เพราะเป็นการทำแทนโจทก์เพื่อให้ขายที่ดินแก่โจทก์ จะว่าเป็นการดำเนินคดีโดยไม่สุจริตไม่ได้เพราะโจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องขอให้บังคับตามสัญญาที่ทำกันไว้ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ไม่มาเบิกความต่อมาเอง ก็ไม่มีกฎหมายบังคับให้ทำดังนั้น แล้วแต่โจทก์จะเสนอพยานหลักฐานใดต่อศาลแพ่ง ที่ฟังได้หรือไม่เพียงใด ศาลย่อมวินิจฉัยมาตามพยานหลักฐานและรูปคดี มิใช่ว่าถ้าโจทก์ไม่มาเบิกความแล้วฟังไม่ได้เสียเลย
ส่วนประเด็นอีกข้อหนึ่งซึ่งจำเลยต่อสู้ไว้ว่า ได้เลิกสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์แล้วศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยให้ แต่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อนี้ไว้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่ ศาลฎีกาจึงได้วินิจฉัยประเด็นนี้ให้ เมื่อสรุปแล้วศาลฎีกาฟังว่าการโอนขายไม่สำเร็จเพราะว่าการที่โจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทและปลูกเรือนให้นางเขียนภริยาของตนอยู่รายนี้แล้วก็ทอดทิ้งไป ไม่นำพาในเรื่องซื้อขายที่ดินกับจำเลยอีกเลยพฤติการณ์เป็นที่เห็นได้ว่า คู่กรณีได้ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายกันแล้วโดยปริยาย แต่ตามพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ถึงกับว่าฝ่ายโจทก์จะไม่เรียกร้องเอาราคาที่ให้ไปแล้วคืน การเลิกสัญญาจึงต้องให้คู่กรณีกลับสู่ฐานะเดิม โดยจำเลยต้องคืนเงินมัดจำที่รับไว้และฝ่ายโจทก์ต้องคืนการครอบครองที่ตนครอบครองแทนในระหว่างโอนขายให้จำเลย คดีนี้โจทก์ฟ้องเพียงให้จำเลยโอนขายอย่างเดียว มิได้เรียกเงินคืนในการโอนขายให้ไม่ได้ ทั้งโจทก์ยังมิได้จัดการให้จำเลยกลับสู่ฐานะเดิมในเหตุเลิกสัญญา จะบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำเพราะเหตุเลิกสัญญาในคดีนี้ด้วยไม่ได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ตัดสิทธิคู่ความในการดำเนินคดีในผลแห่งการเลิกสัญญาตามที่ได้วินิจฉัยไว้