คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8676/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายฟ้องเรียกต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาท ซึ่งมีชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จากจำเลย หาใช่ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยไม่ แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ถือว่าจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องคืนต้นฉบับโฉนดเท่านั้น จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ชอบแล้ว
เดิมที่ดินเป็นที่ดินมือเปล่าที่เจ้ามรดกมอบให้จำเลยเข้าทำนาจำเลยเป็นผู้ดูแลแทนผู้ตายซึ่งป่วยเป็นอัมพาต และผู้ตายมอบให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดที่ดินแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับในกรรมสิทธิ์ของผู้ตายว่ามีเหนือที่ดินโดยสมบูรณ์ จำเลยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแสดงว่าตนครอบครองปรปักษ์หรือเมื่อโจทก์ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งสิทธิต่อเจ้าพนักงานที่ดิน พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ที่ว่า ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางหลงบ๊ะหรือหลงบ้าหรือหลงย๊ะหรือบ๊ะ มาถชายหรือมาดชาย เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6437 ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เนื้อที่ 3 ไร่ 41 ตารางวา ต่อมานางหลงบ๊ะได้ถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางหลงบ๊ะโดยคำสั่งศาล วันที่ 5 มิถุนายน 2539 โจทก์ได้ยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าว เนื่องจากต้นฉบับโฉนดที่ดินสูญหายเพื่อนำมาแบ่งปันให้แก่ทายาทต่อไป วันที่ 4 กรกฎาคม 2539 จำเลยได้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ระงับการออกใบแทนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์เพราะต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวอยู่ที่จำเลย โจทก์จึงทวงถามให้จำเลยคืนต้นฉบับโฉนดที่ดินแก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยยึดถือโฉนดที่ดินโดยที่นางหลงบ๊ะไม่มีมูลหนี้กับจำเลยจำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงหรือยึดถือโฉนดที่ดินไว้ ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 6437 ตำบลไสไทยอำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ คืนแก่โจทก์ หากจำเลยคืนไม่ได้หรืออ้างว่าไม่ได้อยู่ในความยึดถือของจำเลยก็ให้ศาลเพิกถอนต้นฉบับโฉนดที่ดินเดิมและมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 6437 นางหลงบ๊ะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาปี 2525 นางหลงบ๊ะยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยสละสิทธิการครอบครอง และส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยจึงเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยสุจริตสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยไม่มีผู้ใดคัดค้านรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลย รวมระยะเวลาการครอบครองนับแต่ปี 2525จนถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปี จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงมิใช่มรดกของนางหลงบ๊ะอีก และโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่านางหลงบ๊ะได้มอบโฉนดที่ดินแก่จำเลยมานานแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดถือหรือยึดหน่วงโฉนดที่ดินเลขที่ 6437 ไว้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 6437 ตำบลไสไทย อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาจำเลยถึงแก่กรรม นายสุธรรม หง้าบุตร ทายาทของจำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 อนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางหลงบ๊ะหรือหลงบ้าหรือหลงย๊ะหรือบ๊ะ มาถชายหรือมาดชาย ผู้ตายซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 6437 โดยจำเลยได้ยึดถือต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องส่งต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 6437 คืนให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่จำเลยโต้แย้งเป็นประเด็นแรกว่า คดีนี้โจทก์เรียกที่ดินคืนจากจำเลยจึงเป็นคดีมีข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ มิใช่คดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกต้นฉบับโฉนดที่ดินพิพาทจากจำเลย หาใช่ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยไม่ แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทก็ถือว่าจำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องคืนต้นฉบับโฉนดเท่านั้น จึงเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ชอบแล้ว

ส่วนที่จำเลยโต้แย้งเป็นประเด็นต่อมาว่า ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่เสียก่อนนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยจะต้องคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์หรือไม่นั้น ศาลย่อมต้องวินิจฉัยเป็นลำดับว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6437 เป็นของผู้ตายหรือไม่เสียก่อน และเมื่อฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของผู้ตายแล้วก็ย่อมเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกมีอำนาจในการรวบรวมทรัพย์สินดังกล่าวมาแบ่งปันแก่ทายาทและมีสิทธิเรียกทรัพย์ของผู้ตายที่ผู้อื่นยึดถือไว้โดยมิชอบกลับคืนมาได้ ซึ่งศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยไว้เป็นลำดับโดยชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิยึดโฉนดที่ดินพิพาทไว้ได้เพราะจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ปรากฏชัดเจนว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 268/2539 และผู้ตายมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 6437 ตามเอกสารหมาย จ.1 จำเลยนำสืบว่า เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินมือเปล่าที่เจ้ามรดกมอบให้จำเลยเข้าทำนา จำเลยเป็นผู้ดูแลแทนผู้ตายซึ่งป่วยเป็นอัมพาตและผู้ตายมอบให้จำเลยดำเนินการออกโฉนดที่ดิน เห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยแสดงโดยแจ้งชัดว่า ผู้ตายมิได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยทำนาในที่ดินพิพาทโดยผู้ตายมอบหมายให้ทำการ ที่จำเลยดำเนินการออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยระบุชื่อผู้ตายเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า จำเลยยอมรับในกรรมสิทธิ์ของผู้ตาย ว่ามีเหนือที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์ ที่จำเลยอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่าสิบปีแล้วนั้น จำเลยก็มิได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อแสดงว่าตนครอบครองปรปักษ์ดังคำกล่าวอ้างนั้น แต่กลับปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าภริยาจำเลยซึ่งเป็นหลานผู้ตายเป็นผู้ยื่นคำร้องขอในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 161/2539 ของศาลชั้นต้นและศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี เนื่องจากผู้ร้องไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลกำหนด นอกจากนี้จำเลยได้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ด้วยว่าจำเลยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าต้นฉบับโฉนดที่ดินอยู่ที่จำเลยเท่านั้น โดยจำเลยมิได้อ้างสิทธิว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ตามบันทึกถ้อยคำเอกสารหมาย จ.8 พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ที่ว่า “ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดินท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง” ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินผู้ตายจนได้กรรมสิทธิ์ ดังนั้น ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เหตุนี้จำเลยจึงหามีสิทธิยึดถือต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ได้ไม่ จำเลยต้องส่งคืนให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกทรัพย์สินของผู้ตายในอันที่จะดำเนินการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททั้งหลายของผู้ตายตามกฎหมาย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้กำหนดอัตราค่าทนายความชั้นสูงในชั้นอุทธรณ์ไว้เพียง 1,500 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยชำระแทน 3,000 บาท จึงไม่ชอบ แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาย่อมกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้”

พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาทแทนโจทก์ในชั้นฎีกาโจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้

Share