แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ามาในศาลชั้นต้นถึงหากจะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วก็ตาม จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ผู้โอนหรือผู้รับโอนทรัพย์สินที่มีผู้เช่าอยู่ไม่จำต้องแจ้งการโอนให้ผู้เช่าทราบก่อนฟ้องขับไล่ผู้เช่า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากนางห้องโดยไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ ค่าเช่าเดือนละ 150 บาทเมื่อโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาแล้วก็ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2512 กำหนดให้ออกไปภายในหนึ่งเดือนจำเลยทราบแล้วไม่ออกไปและในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ชัดแจ้งพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายจึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อต้นปี พ.ศ. 2509จำเลยเช่าบ้านจากนางห้อง ค่าเช่าเดือนละ 150 บาท โดยไม่กำหนดเวลาเช่า และไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหลักฐาน ต่อมานางห้องขายที่ดินและบ้านหลังนั้นให้โจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบแล้ว โจทก์จะใช้บ้านนี้อยู่เอง ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์แจ้งบอกเลิกการเช่าแล้วแต่จำเลยไม่ยอมออก โจทก์ขอคิดค่าเช่าทดแทนความเสียหายในการที่จำเลยคงอยู่ในบ้านนั้นตลอดมาเป็นเงินเท่าค่าเช่าที่จำเลยต้องชำระเป็นเงินเดือนละ 150 บาทคิดถึงเดือนที่ฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน เป็นเงิน 900 บาท และให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านโจทก์พร้อมทั้งมอบคืนบ้านให้ ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 900 บาท และค่าเสียหายต่อไปเดือนละ 150 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไป
จำเลยให้การว่า การที่นางห้องขายที่ดินและบ้านให้โจทก์นางห้องและสามีไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบ แต่โจทก์ต้องรับเอาสิทธิการเช่าไปด้วย โจทก์จึงฟ้องขับไล่ไม่ได้ โจทก์ควรจะเรียกเก็บค่าเช่าจากจำเลยก่อน เมื่อไม่ชำระค่าเช่าจึงควรฟ้องจำเลย อยู่ ๆ โจทก์ก็ให้ทนายมีหนังสือแจ้งให้ออกจากบ้านเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การเรียกค่าเสียหายก็ไม่ทราบว่าเป็นค่าเสียหายฐานอะไร
วันนัดชี้สองสถาน คู่ความแถลงรับกันว่าการเช่าบ้านพิพาทไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยตกลงเช่าจากเจ้าของเดิมเดือนละ 150 บาทจำเลยส่งค่าเช่าทางธนาณัติให้เจ้าของเดิมตลอดมา จำเลยเพิ่งทราบว่าที่ดินและห้องเช่าพิพาท โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2512 ซึ่งจำเลยทราบการบอกเลิกการเช่าจากโจทก์ในวันเดียวกันนั้นเอง นางห้องผู้ให้เช่าเดิมยังไม่ได้บอกเลิกการเช่า คู่ความแถลงต้องกันว่าประเด็นแห่งคดีมี 2 ข้อ คือ (1) โจทก์รับโอนที่ดินและบ้านเช่าจากผู้เช่าเดิม (น่าจะเป็นผู้ให้เช่าเดิม) จำเลยยังคงมีสิทธิเช่าต่อไปหรือไม่ (2) ประเด็นค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ คู่ความแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาทห้ามเกี่ยวข้องให้จำเลยชำระค่าเช่าเดือนละ 450 บาท ค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2512 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากบ้านพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบ ฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชำระค่าเช่า 3 เดือน เป็นเงิน 450 บาทนั้น ไม่ถูกต้องเพราะโจทก์ไม่ได้ขอ หรือหากจะขอก็บังคับไม่ได้ เพราะการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์คงได้แต่ค่าเสียหายเนื่องจากละเมิด พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้เฉพาะค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 150 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2512 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากบ้านพิพาท นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาประการแรกว่าเมื่อโจทก์รับโอนบ้านพิพาทมาแล้ว ผู้โอนและผู้รับโอนมิได้แจ้งการโอนให้จำเลยผู้เช่าทราบเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความจริงในเรื่องนี้ ตอนจำเลยยื่นคำให้การจำเลยคงต่อสู้เฉพาะว่าผู้โอนไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบเท่านั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นกล่าวในชั้นอุทธรณ์เท่านั้น จำเลยจึงฎีกาในข้อนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีกฎหมายบังคับว่าผู้โอนหรือผู้รับโอนทรัพย์สินที่มีการเช่าจะต้องแจ้งไปยังผู้เช่าทรัพย์สินให้ทราบการโอนเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาอีกข้อหนึ่งของจำเลยที่ว่า ฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายเคลือบคลุมนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากนางห้องโดยไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ ค่าเช่าเดือนละ 150 บาท เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาแล้วก็ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2512 กำหนดให้ออกไปภายในหนึ่งเดือน จำเลยทราบแล้วไม่ออกไป และในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็ขอเรียกค่าเสียหายเดือนละ 150 บาท คำบรรยายฟ้องของโจทก์ชัดแจ้งพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายไม่เคลือบคลุม ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว
พิพากษายืน