แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์รู้อยู่แล้วในขณะกู้ยืมเงินหรืออย่างช้าในขณะที่จำเลยที่ 1 ทวงถามให้โจทก์ชำระเงินตามเช็คว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเงินส่วนหนึ่งที่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ให้โจทก์กู้ยืมไปตามหนังสือสัญญากู้ ทั้งในการฟ้องคดีจำเลยที่ 1 ก็ตรงไปตรงมาโดยฟ้องเอาผิดโจทก์เฉพาะเช็คตามจำนวนเงินที่โจทก์ยังค้างชำระหนี้เงินกู้อยู่เท่านั้น ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับว่ายังไม่ได้ชำระเงินตามเช็ค การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความว่าตนเองเป็นผู้ให้กู้ในหนังสือสัญญากู้จึงเป็นการกรอกข้อความไปตามความจริงและโดยสุจริตว่าตนเองมีสิทธิกรอกข้อความในฐานะเป็นผู้ออกเงินส่วนหนึ่งให้โจทก์กู้ด้วย และกระทำไปเพียงเพื่อใช้เป็นหลักฐานรองรับหนี้เงินตามเช็คให้เห็นว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการปลอมเอกสาร และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิ และการกระทำของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177, 180, 264, 265, 268, 83, 90 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 มีมูลตามฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 มีมูลเฉพาะข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 177 วรรคสอง, 180 วรรคสอง, 265 และ 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 แต่กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฐานนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานนำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ฐานฟ้องเท็จให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ฐานเบิกความเท็จ เป็นความผิดสองกระทง ให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน และปรับกระทงละ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 24 เดือน และปรับ 20,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 5,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไว้มีกำหนดคนละ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่ความตาย นางสาวณัฐชา ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า เมื่อปี 2535 จำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี ส่วนจำเลยที่ 1 ทำธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินและเป็นลูกค้าของธนาคารอยู่แล้ว รู้จักสนิทสนมกับจำเลยที่ 2 ดี ซึ่งต่อมาเมื่อต้นปี 2538 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำธุรกิจซื้อขายที่ดินโดยนำกำไรมาแบ่งปันกัน สำหรับโจทก์ประกอบการค้าและเป็นลูกค้าของธนาคารเช่นกัน โดยน้องสาวโจทก์เป็นเพื่อนสนิทกับจำเลยที่ 2 และฝากฝังให้จำเลยที่ 2 ช่วยดูแลโจทก์ เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2538 โจทก์ขอกู้ยืมเงินจำเลยที่ 2 จำนวน 2,000,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้โจทก์กู้เงินจำนวนดังกล่าว ตกลงดอกเบี้ยรวมค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน ต่อมาโจทก์ลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในแบบฟอร์มหนังสือสัญญากู้เงิน พร้อมทั้งกรอกจำนวนเงินเป็นตัวอักษรและตัวเลขจำนวน 2,000,000 บาท มอบให้จำเลยที่ 2 ไว้ และโจทก์ออกเช็คธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) จำนวนเงิน 2,000,000 บาท ลงวันที่ล่วงหน้า 3 เดือน มอบให้จำเลยที่ 2 ไว้ด้วย จำเลยที่ 2 ให้นางอภิญญา ภรรยาของจำเลยที่ 2 ซึ่งพักอาศัยอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา เบิกเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขานครราชสีมา ซึ่งเป็นบัญชีที่จำเลยที่ 2 เปิดใช้ร่วมกับนางอภิญญาจำนวน 1,820,000 บาท โอนให้โจทก์รับไปจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี ในวันเดียวกัน หลังจากนั้นโจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 2 หลายครั้ง บางครั้งชำระโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีของนางอภิญญา จนกระทั่งเมื่อเหลือหนี้ค้างชำระจำนวน 560,000 บาท โจทก์ออกเช็คจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้ แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ขอผัดผ่อนออกไปโดยขอผ่อนชำระเป็น 2 งวด ตกลงให้ดอกเบี้ยเพิ่มอีก 50,400 บาท โจทก์ออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี จำนวน 2 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 305,200 บาท ทั้งสองฉบับมอบให้จำเลยที่ 2 ตามเช็ค เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยที่ 2 นำเช็คทั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ เมื่อถูกทวงถามโจทก์ชำระเงินตามเช็คเพียงฉบับเดียวคือ เช็คซึ่งเรียกเก็บเงินได้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2539 ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คซึ่งโจทก์ยังไม่ชำระ ฟ้องโจทก์ที่ศาลแขวงอุบลราชธานี ในข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3395/2539 โดยบรรยายฟ้องว่า เช็คดังกล่าวโจทก์ออกให้จำเลยที่ 1 เพื่อเป็นการชำระหนี้การกู้ยืมเงินที่โจทก์กู้เงินไปจากจำเลยที่ 1 จำนวน 2,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำเลยที่ 1 เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องกับเบิกความในชั้นพิจารณาทำนองเดียวกันว่า โจทก์กู้เงินจำเลยที่ 1 จำนวน 2,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1.25 ต่อเดือน และนำสืบหนังสือสัญญากู้เงินประกอบการเบิกความ ศาลแขวงอุบลราชธานีพิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขแดงที่ 648/2541 โดยวินิจฉัยว่า จำนวนเงินในเช็คที่จำเลยที่ 1 นำไปฟ้องคดีดังกล่าวรวมดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย มูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงเป็นอันยุติ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อแรกว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมหนังสือสัญญากู้เงินหรือไม่ เห็นว่า แม้เงินกู้จำนวน 1,820,000 บาท ที่โจทก์รับไปในวันกู้ยืมจะมีที่มาเป็นเงินโอนจากบัญชีของจำเลยที่ 2 ซึ่งเปิดบัญชีร่วมกับนางอภิญญาตามบัญชีกระแสรายวันก็ตาม แต่การโอนเงินจากบัญชีมายังธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี เพื่อให้โจทก์รับไปนั้น เป็นการโอนเงินในวันและเวลาเดียวกันรวมสองยอด โดยนางสาวนารีนาฎ สมุห์บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอุบลราชธานี พยานโจทก์เบิกความว่า มีคำสั่งจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขานครราชสีมา โอนเงินที่เรียกว่าโอนลอย ซึ่งไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีมาที่สาขาอุบลราชธานี แต่มีการระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน วันดังกล่าวมีคำสั่งให้โอนเงินจำนวน 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 1,000,000 บาท ครั้งที่ 2 จำนวน 820,000 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วในวันเดียวกัน เป็นสภาพการโอนเงินที่ชวนให้สงสัยว่าหากเงินให้โจทก์กู้ยืมจำนวน 1,820,000 บาท ซึ่งโอนมาจากบัญชีจำเลยที่ 2 เป็นเงินของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 2 จะต้องแยกโอนเงินเป็นสองยอดในวันและเวลาเดียวกัน ซึ่งน่าจะมีค่าธรรมเนียมการโอนเพิ่มขึ้น และไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ธนาคารจะแนะนำให้จำเลยที่ 2 แบ่งโอนเงินเป็นสองยอด อันเป็นการเพิ่มภาระแก่เจ้าหน้าที่และสิ้นเปลืองเวลาไปโดยใช่เหตุ ดังนี้ โดยรูปแบบการโอนเงินจึงน่าจะแฝงความจริงบางอย่างอันเป็นความตั้งใจของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้โอนเงินทั้งหมดจากบัญชีของตนเอง จึงต้องค้นหาเหตุผลจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 เป็นสำคัญ จำเลยที่ 2 เบิกความว่า เหตุที่ต้องโอนเงินเป็นสองยอด ก็เนื่องจากจะแบ่งแยกให้เห็นว่าเงินจำนวน 1,000,000 บาท เป็นเงินส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ยอมให้โจทก์กู้ยืม ส่วนยอดเงิน 820,000 บาท เป็นเงินในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเงินส่วนนี้จำเลยที่ 2 เป็นหนี้จำเลยที่ 1 และจะต้องชำระให้แก่จำเลยที่ 1 สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุว่า ที่มีการโอนเงินเป็นสองยอดก็เนื่องจากจะแสดงให้เห็นว่ามียอดเงินกู้ส่วนที่เป็นของจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อพิจารณาประกอบกับวิธีการโอนเงินทั้งสองยอด มิใช่เป็นการโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์ แต่เป็นการโอนลอยโดยระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินอันเป็นรูปแบบการโอนเงินที่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้รับเงินคือ โจทก์ ลงลายมือชื่อรับเงินในเอกสารการจ่ายเงินแต่ละยอด เพื่อให้เป็นหลักฐานปรากฏในใบสำคัญจ่ายเงินของธนาคารและในระหว่างจำเลยทั้งสองก็เพื่อให้เป็นหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 แล้วจำนวน 820,000 บาท กับเป็นหลักฐานแสดงแก่จำเลยที่ 1 ว่าเงินส่วนให้กู้ของจำเลยที่ 1 จำนวน 820,000 บาท โจทก์ได้รับแล้วตามใบโอนเงินประกอบกับจำเลยทั้งสองมีภูมิหลังในการทำธุรกิจที่ดินเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกันมาก่อน จึงไม่แปลกที่จำเลยทั้งสองจะร่วมกันออกเงินให้โจทก์กู้ยืม น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ติดต่อชักชวนให้จำเลยที่ 1 ร่วมออกเงินให้โจทก์กู้ยืมด้วยและได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วเพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องปกปิดโจทก์ แต่กลับจะต้องเปิดเผยเพราะไม่ใช่เงินของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวซึ่งโจทก์อาจขาดความเกรงใจหรือง่ายต่อการขอผ่อนปรนการชำระหนี้โดยอาศัยความสนิทสนมระหว่างกัน จึงเป็นเรื่องที่จะต้องแจ้งให้โจทก์รู้ด้วยว่าเงินให้กู้ส่วนหนึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ด้วย ซึ่งโจทก์ไม่เคยรู้จักมาก่อนเพื่อที่โจทก์จะได้ตั้งใจชำระหนี้โดยเคร่งครัด ทั้งในเวลานั้นโจทก์เดือดร้อนและต้องการใช้เงินซึ่งไม่อาจขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากธนาคารได้เพื่อนำไปแก้ปัญหาสภาพคล่องในธุรกิจค้าขายของตนเองโดยเร็ว โจทก์ย่อมไม่ตั้งแง่ว่าจะต้องเป็นเงินให้กู้ของจำเลยที่ 2 ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้จึงน่าเชื่อว่าในการกู้ยืมเงินโจทก์เพียงป้องกันตัวหรือระมัดระวังมิให้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่กู้ยืม โจทก์จึงกรอกข้อความเฉพาะจำนวนเงินกู้ยืมไว้โดยชัดแจ้งและลงลายมือชื่อผู้กู้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นเว้นว่างไว้โดยโจทก์ยอมให้ผู้ให้กู้ไปกรอกข้อความเอง แล้วมอบหลักฐานการกู้ยืมให้จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้เพราะสนิทสนมกัน จากนั้นโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ยืมให้แก่จำเลยที่ 2 มาตลอดก็เพราะความสนิทสนมกับจำเลยที่ 2 จนกระทั่งหนี้เงินกู้ยืมเหลือจำนวน 560,000 บาท โจทก์ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว ให้จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้ตามเช็ค ซึ่งก่อนถึงกำหนดใช้เงินตามเช็คฉบับดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้มีจดหมายถึงโจทก์ แจ้งว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดให้โอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา แต่เมื่อถึงกำหนดชำระ โจทก์ขอผัดผ่อนการชำระหนี้โดยขอออกเช็คฉบับใหม่รวม 2 ฉบับ เมื่อรวมดอกเบี้ยเข้าด้วยแล้ว เป็นเงินฉบับละ 305,200 บาท มอบให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 2 มอบเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 นำไปเรียกเก็บเงิน จำเลยที่ 1 เบิกความว่า ได้นำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินโดยนำเข้าบัญชีที่จำเลยทั้งสองเปิดร่วมกันในการประกอบธุรกิจ แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ทวงถามให้โจทก์ชำระแต่ไม่เป็นผล จึงมอบหมายให้นายชัยชนะ ซึ่งเป็นทนายความทวงถาม จำเลยที่ 1 ทราบภายหลังว่าในการทวงถามนายชัยชนะได้ขอความร่วมมือเจ้าพนักงานตำรวจให้ติดตามไปด้วย เป็นผลให้โจทก์ยอมชำระเงินตามเช็คให้ 1 ฉบับ โดยปกติเมื่อเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว เป็นธรรมดาที่ผู้ทรงเช็คซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 จะต้องทวงถามให้ได้คำตอบจากโจทก์ว่าจะชำระเงินตามเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 หรือไม่อย่างไร คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงสมแก่เหตุผลแล้ว เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้แสดงตัวทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้ตามเช็คแล้ว โจทก์ย่อมต้องรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเงินให้กู้คนหนึ่งด้วย หาใช่เพิ่งรู้ขณะจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์เป็นคดีเช็คตามที่โจทก์เบิกความตอบทนายโจทก์ถามติงและเมื่อจำเลยที่ 1 ทวงถามไม่เป็นผลแล้ว ก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกันที่จำเลยที่ 1 จะมอบหมายให้ทนายความไปทวงถามเพราะอาจยังผลสำเร็จได้โดยไม่ต้องเสียเวลาดำเนินคดีในศาล และข้อสำคัญจำเลยที่ 1 จะรู้ได้อย่างไรว่าจะต้องนำเช็คไปเรียกเก็บเงินอีกครั้งในวันที่ 22 กรกฎาคม 2539 หากโจทก์ไม่บอก ดังนี้ แม้คำเบิกความของจำเลยทั้งสองในคดีนี้จะไม่ลงรอยกับที่จำเลยทั้งสองเคยเบิกความไว้ในคดีความผิดเกี่ยวกับเช็ค ดั่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยและเห็นว่าเป็นพิรุธนั้น ก็ไม่มีผลกระทบต่อข้อเท็จจริงและเหตุผลดังวินิจฉัยมาให้คลายความน่ารับฟังลงแต่อย่างใด เมื่อพยานหลักฐานจำเลยทั้งสองตามที่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยสะท้อนความจริงในประเด็นแห่งคดีได้สมเหตุผลยิ่งกว่าพยานหลักฐานโจทก์ จึงเชื่อได้โดยปราศจากสงสัยว่าโจทก์รู้อยู่แล้วในขณะกู้ยืมเงินหรืออย่างช้าในขณะที่จำเลยที่ 1 ทวงถามให้โจทก์ชำระเงินตามเช็คว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเงินส่วนหนึ่งที่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ให้โจทก์กู้ยืมไป ทั้งในการฟ้องคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ก็ตรงไปตรงมาโดยฟ้องเอาผิดโจทก์เฉพาะเช็คตามจำนวนเงินที่โจทก์ยังค้างชำระหนี้เงินกู้อยู่เท่านั้น ซึ่งโจทก์เองก็ยอมรับว่ายังไม่ได้ชำระเงินตามเช็คและเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เองก็ยินยอมให้จำเลยที่ 1 กรอกข้อความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้กู้ในหนังสือสัญญากู้เงินได้ เพราะจำเลยที่ 2 เกรงใจไม่กล้าดำเนินคดีแก่โจทก์ เนื่องจากเห็นแก่น้องของโจทก์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและฝากฝังให้จำเลยที่ 2 ช่วยดูแลโจทก์ด้วย การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความว่าตนเองเป็นผู้ให้กู้จึงเป็นการกรอกข้อความไปตามความจริงและโดยสุจริตว่าตนเองมีสิทธิกรอกข้อความในฐานะที่เป็นผู้ออกเงินส่วนหนึ่งให้โจทก์กู้ด้วยและกระทำไปเพียงเพื่อใช้เป็นหลักฐานรองรับหนี้เงินตามเช็คให้เห็นว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการปลอมเอกสารและเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจมีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารสิทธิและการกระทำของจำเลยที่ 1 ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นให้ยกฟ้อง