แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทราบว่า ภรรยาโจทก์ได้ขายที่ดินให้แก่จำเลยมาแต่แรกฉะนั้นโจทก์จึงอาจจะให้สัตยาบันได้มาแต่แรกที่ภรรยาโจทก์ขายที่ดินให้แก่จำเลยแต่โจทก์มิได้บอกล้างนิติกรรมนั้นภายในกำหนด 1 ปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา 143ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางรอดภรรยาโจทก์ได้ขายที่ดินสินบริคณห์ให้แก่จำเลย โดยโจทก์ไม่ทราบและไม่รู้เห็นยินยอมด้วย โจทก์ได้บอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว จำเลยเพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขาย และโอนที่ดินกลับคืน จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์และนางรอดตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนของนางรอดให้แก่จำเลยเพื่อใช้หนี้นางสายและตัดฟ้องว่า คดีขาดอายุความแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์สืบไม่สมฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ได้ให้ความยินยอมเป็นหนังสือ การที่ภรรยาโจทก์ไปขายที่ดิน จึงเป็นการใช้ไม่ได้ตาม มาตรา 1476 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พิพากษากลับให้บังคับจำเลยโอนที่ดินส่วนของนางรอดเข้าสู่ฐานะเดิม
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ จำเลยให้การตัดฟ้องว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง ทั้งขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอายุความด้วยข้อเท็จจริงคงฟังว่า โจทก์ทราบว่าภรรยาโจทก์ได้ขายที่พิพาทให้แก่จำเลยแต่แรกนานเกินกว่า 1 ปีแล้ว ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 ท่านห้ามมิให้บอกล้างโมฆียะกรรมเมื่อพ้นหนึ่งปีนับแต่เวลาที่จะขอให้สัตยาบันนั้นได้เมื่อโจทก์จะอ้างให้สัตยาบันได้แต่แรกที่ภรรยาได้ขายให้แก่จำเลยโจทก์ไม่บอกล้างภายใน 1 ปี คดีขาดอายุความฟ้องร้อง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น