คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 863/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายไปพบนางเกษภรรยานายสุวรรณจำเลยอยู่บ้านคนเดียวก็คุกคามเกรี้ยวกราดเป็นทำนองข่มเหงว่าจะฆ่าจะชำเรา ครั้นนางเกษร้องเอ็ดอึงขึ้น ผู้ตายเป็นพระภิกษุจึงต้องรีบลงจากเรือนไป แต่พอดีจำเลยทั้งสองกลับมาได้ยินเสียงร้องและเมื่อทราบเรื่องเลยออกติดตามทันที จำเลยตามไปห่างเรือน 6-7 เส้น ก็ทันและทำร้ายผู้ตายนอนตายอยู่บนถนน ถือว่าการกระทำของนายสุวรรณจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นแล้ว
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้ถูกข่มเหงไม่จำเป็นจะต้องกระทำลงทันทีหรือ ณ ที่ซึ่งถูกข่มเหง หากได้กระทำผิดต่อผู้ที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกัน ก็ยังถือว่ากระทำโดยบันดาลโทสะได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2502)
นายสอจำเลยกับนายสุวรรณจำเลยเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน การที่นางเกษภรรยานายสุวรรณจำเลยถูกข่มเหงรังแก ย่อมเป็นการข่มเหงนายสุวรรณผู้สามีด้วย เป็นเหตุผลเกี่ยวกับตัวบุคคลหาใช่ลักษณะคดีไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะทำผิดร่วมกัน ก็จะปรับบทลงโทษนายสอจำเลยตาม มาตรา 72 คือ เหตุลดโทษเพราะบันดาลโทสะด้วยหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันฆ่าพระภิกษุพรมมาตายโดยเจตนาขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83

จำเลยทั้งสองรับว่า ได้ทำร้ายผู้ตายจริง แต่เป็นการป้องกันตัวและชื่อเสียง เพราะผู้ตายทำร้ายจำเลยก่อนและได้ขึ้นบนเรือนปลุกปล้ำภรรยาจำเลยที่ 2 ด้วย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้จำคุกคนละ 15 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 7 ปี 6 เดือน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายสุวรรณจำเลยเป็นสามีนางเกษ ได้กระทำผิดโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมโดยผู้ตายเข้าจับนางเกษและขู่ว่าจะฆ่าจะชำเรา นางเกษร้องให้คนช่วย ผู้ตายจึงลงจากเรือนไป พอดีจำเลยทั้งสองกลับมาทราบเรื่องจากนางเกษก็รีบติดตามไปทันผู้ตายห่างเรือน 6-7 เส้น แล้วช่วยกันทำร้าย พิพากษาแก้เฉพาะนายสุวรรณจำเลย ให้จำคุก 6 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 72 ลดกึ่งตาม มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี

อัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น

นายสอหรือสินธุ์จำเลยฎีกาว่า ควรกำหนดโทษจำเลยเท่านายสุวรรณจำเลยด้วย

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ตายไปพบนางเกษ (ภรรยานายสุวรรณจำเลย) อยู่บ้านคนเดียวก็คุกคามเกรี้ยวกราดเป็นทำนองข่มเหงจะฆ่าจะชำเรา ครั้นนางเกษร้องเอ็ดอึงขึ้น ผู้ตายเป็นพระภิกษุจึงต้องรีบลงจากเรือนไป แต่พอดีจำเลยทั้งสองกลับมาทราบเรื่องเลยออกติดตามทันที จำเลยตามไปห่างเรือน 6-7 เส้น ก็ทันและทำร้ายผู้ตายนอนตายอยู่บนถนน ที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การกระทำของนายสุวรรณจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้ถูกข่มเหงไม่จำเป็นจะต้องกระทำลงทันทีหรือ ณ ที่ซึ่งถูกข่มเหง หากได้กระทำผิดต่อผู้ที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกัน ก็ยังถือว่ากระทำโดยบันดาลโทสะได้ ดังเช่นนายสุวรรณจำเลยได้กระทำแก่ผู้ตายในคดีนี้

ส่วนที่นายสอหรือสินธุ์จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดร่วมกันกับนายสุวรรณจำเลย ควรจะปรับบทลงโทษเช่นเดียวกันนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน การที่นางเกษถูกข่มเหงรังแกย่อมเป็นการข่มเหงนายสุวรรณสามีด้วย เป็นเหตุผลเกี่ยวกับตัวบุคคล หาใช่ลักษณะคดีไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะทำผิดร่วมกัน ดังจำเลยว่า ก็จะปรับบทลงโทษนายสอหรือสินธุ์จำเลยตามมาตรา 72 (เหตุบันดาลโทสะ) ด้วยมิได้

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share