แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่จำเลยได้ฟ้องแย้งด้วยนั้น จำเลยย่อมอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องแย้งอีกฐานะหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อจำเลยถูกศาลสั่งว่าขาดนัดพิจารณาก็ย่อมถือได้ว่า จำเลยขาดนัดทั้งสองฐานะ คือทั้งที่เป็นจำเลยและที่เป็นโจทก์ฟ้องแย้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่นาพิพาท โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์
จำเลยให้การต่อสู้ว่า นาพิพาทเป็นของจำเลย และฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย
คดีนี้ จำเลยนำสืบก่อน ครั้นถึงวันนัดสืบพยาน จำเลยและทนายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดชั้นพิจารณาตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๐๒ ให้นัดสืบพยานโจทก์ไป โจทก์นำพยานมาสืบรวม ๔ ปากกับอ้างเอกสารประกอบแล้วไม่สืบต่อไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์นำสืบให้ศาลเชื่อไม่ได้ตามฟ้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โดยเหตุที่จำเลยไม่ได้สืบพยาน ศาลจึงไม่สั่งให้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในข้อกฎหมายเรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณาว่า คดีนี้ จำเลยได้ฟ้องแย้งด้วย จำเลยจึงอยู่ในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องแย้งอีกฐานะหนึ่ง เมื่อจำเลยถูกศาลสั่งว่าขาดนัดพิจารณาดังนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยขาดนัดทั้งสองฐานะ คือทั้งที่เป็นจำเลยและที่เป็นโจทก์ฟ้องแย้ง ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาจึงน่าจะหมายถึงจำเลยในฐานะที่เป็นโจทก์ฟ้องแย้งตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา ๒๐๑ ด้วย ทั้งโจทก์ก็ได้สืบพยานไปจนเสร็จสิ้นแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ดำเนิน และขอดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานไปทั้งในฐานะที่เป็นโจทก์และเป็นจำเลยที่ถูกฟ้องแย้ง
ส่วนข้อเท็จจริง เชื่อฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาจึงพิพากษายืน