คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าคน แม้ว่าจำเลยจะให้การปฏิเสธลอย ๆ และจำเลยไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ในเรื่องป้องกันตัว จำเลยก็นำสืบในเรื่องป้องกันตัวได้ เพราะกระบวนพิจารณาความในคดีอาญาต่างกับในคดีแพ่ง ในคดีอาญา จำเลยไม่ยอมให้การอย่างใดเลย ก็ไม่เป็นไรและไม่ว่าจำเลยจะให้การต่อสู้อย่างไร หรือไม่ให้การเลย ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามฟ้องก่อนเสมอไป และหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ เมื่อเป็นดังนี้ จำเลยในคดีอาญาจึงมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ของจำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ และไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในเรื่องที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบต่อไปไว้เลยก็ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันฆ่านายปั่นบุตรโจทก์โดยมีการไตรตรองมาก่อน ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ตลอดข้อหา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันว่า จำเลยที่ ๑ ป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ ๒ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง
ในข้อกฎหมาย โจทก์ฎีกาว่าจำเลยให้การปฏิเสธลอยๆต้องถือว่าไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว ศาลฎีกาเห็นว่า กระบวนพิจารณาความในคดีอาญาต่างกันในคดีอาญา ต่างกับในคดีแพ่ง ในคดีอาญา จำเลยไม่ยอมให้การอย่างใดเลย ก็ไม่เป็นไร และไม่ว่าจำเลยจะให้การต่อสู้อย่างไรหรือไม่ให้การเลย ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามฟ้องก่อนเสมอไป และหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ และ ๑๗๔) เมื่อหน้าที่นำสืบในคดีอาญาซึ่งกฎหมายบัญญัติ ไว้เป็นเช่นนี้ จำเลยในคดีอาญาจึงมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ของจำเลยได้โดยไม่จำเป็นต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ และไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในเรื่องที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบต่อไปไว้เลยก็ได้ ศาลฎีกาพิพากษายืน

Share