คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิยักยอกทรัพย์ ร้องเรียนเท็จและเบิกความเท็จ โดยกล่าวในฟ้องว่า โจทก์ได้อุทิศที่ดินที่ได้รับมรดกมาให้เป็นทรัพย์กองกลางพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและดอกผลสำหรับบำรุงสุสานในตระกูลโจทก์ ต่อมาได้ก่อตั้งเป็นมูลนิธิจนได้รับอำนาจจากรัฐบาลแล้ว ที่ดินสิ่งปลูกสร้างและดอกผลที่โจทก์อุทิศจึงตกเป็นของมูลนิธิตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้น จำเลยซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิได้ยักยอกเอาที่ดินแปลงนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย และจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งเลิกมูลนิธิดังกล่าว โดยเอาความเท็จมาร้องเรียนว่ามูลนิธิไม่มีทรัพย์สินใดจะใช้เป็นทุนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ ความจริงทรัพย์ของมูลนิธิยังมีอยู่ และจำเลยได้เบิกความเท็จว่า มูลนิธิไม่มีทรัพย์สินใดจะใช้เป็นทุนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ ขอให้ลงโทษ เช่นนี้ในชั้นพิจารณาอำนาจฟ้องของโจทก์ ถือได้ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายตามความใน มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องคดีได้ตาม มาตรา 28(2) แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แล้ว เพราะตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ทรัพย์สินย่อมตกเป็นของมูลนิธิแล้วนั้น โจทก์ได้วงเล็บ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 87 มาในฟ้องด้วย แสดงให้เห็นว่า เป็นความเข้าใจของโจทก์ในข้อกฎหมายเกี่ยวกับมาตรา87 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่ใช่ข้อยืนยันของโจทก์ จะถือเป็นยุติตามที่โจทก์เข้าใจในข้อกฎหมายดังที่กล่าวมาในฟ้องเสียทีเดียวหาชอบไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อโจทก์โอนโฉนดให้เป็นในนามของนายประสพกับพวกถือกรรมสิทธิ์ตามหน้าโฉนดก็ยังหาได้มีการโอนโฉนดใส่ชื่อมูลนิธิไม่(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้อุทิศที่ดินที่ได้รับมรดกมาให้เป็นทรัพย์กองกลางพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและดอกผลอันเกิดจากที่ดินนั้น สำหรับบำรุงสุสานในตระกูลโจทก์ ต่อมาได้ก่อตั้งมูลนิธิจนได้รับอำนาจจากรัฐบาลเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2495 แล้วที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับดอกผลที่โจทก์อุทิศจึงตกเป็นของมูลนิธิตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นกรรมการมูลนิธิได้ยักยอกอาทิ ดินแปลงนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวและนายอุดมจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง ขอให้สั่งเลิกมูลนิธิดังกล่าวโดยเอาความเท็จมาร้องเรียนว่ามูลนิธิรายนี้ไม่มีทรัพย์สินใดจะใช้เป็นทุนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ความจริงทรัพย์ของมูลนิธิยังมีอยู่แล้วจำเลยที่ 1-2 ได้เบิกความเท็จว่ามูลนิธิรายนี้ไม่มีทรัพย์สินใดจะใช้เป็นทุนดำเนินการตามวัตถุประสงค์ได้ ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2468 มาตรา 344 กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 314, 319, 155, 160

ศาลแขวงพระนครใต้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะนำคดีมาฟ้องได้

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยวินิจฉัยว่า เมื่อทรัพย์ที่หาว่าจำเลยยักยอกได้ตกไปเป็นของมูลนิธิดังฟ้องแล้ว โจทก์ย่อมไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินนั้นอีกต่อไป จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องเอาโทษแก่จำเลยทางอาญาได้ อำนาจฟ้องย่อมตกอยู่แก่รัฐบาลผู้มีหน้าที่ดูแลมูลนิธิตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 90

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่โจทก์กล่าวฟ้องมาว่า ทรัพย์สินย่อมตกเป็นของสีบุญเรืองมูลนิธิแล้วนั้น โจทก์ได้วงเล็บ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 87 มาในฟ้องด้วย แสดงให้เห็นว่า เป็นความเข้าใจของโจทก์ในข้อกฎหมายเกี่ยวกับ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 87 ส่วนข้อเท็จจริงเป็นมาประการใดจึงเกิดความเข้าใจในข้อกฎหมายเช่นนั้น โจทก์ได้บรรยายในฟ้องและนำสืบไว้ด้วย ทรัพย์สินที่หาว่าจำเลยยักยอกจะตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิไปแล้วหรือไม่ ก็ต้องปรับฟ้องของโจทก์ด้วยบทกฎหมายต่อไป จะถือเป็นยุติตามที่โจทก์เข้าใจในข้อกฎหมายดังที่กล่าวมาในฟ้องเสียทีเดียวนั้นหาชอบไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อโจทก์โอนโฉนดให้เป็นในนามของนายประสพ สีบุญเรืองกับพวก ถือกรรมสิทธิ์ตามหน้าโฉนด ก็ยังหาได้มีการโอนโฉนดใส่ชื่อมูลนิธิไม่ ในชั้นนี้ มีปัญหาเฉพาะอำนาจฟ้องของโจทก์เท่านั้นทรัพย์สินที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์อุทิศให้แก่มูลนิธิมานั้นจะได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่มูลนิธิไปแล้วหรือไม่ จึงยังไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ก็ได้ เพราะการที่โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินนี้อยู่แต่เดิมหากเป็นความจริงตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ก็ย่อมมีส่วนได้ส่วนเสียในมูลนิธิและทรัพย์สินที่อุทิศให้นี้ กล่าวคืออุทิศทรัพย์สินให้ก็เพื่อเป็นทุนบำรุงสุสานในตระกูลของโจทก์จำเลยผู้ซึ่งโจทก์อ้างว่าได้รับมอบทรัพย์สินไปจากโจทก์เพื่อจัดการให้เป็นไปตามเจตน์จำนงของโจทก์กลับยักยอกเอาทรัพย์สินนั้นเป็นอาณาประโยชน์ของตนและพรรคพวกเสียเอง และยังทำเรื่องเท็จขึ้นให้มูลนิธิต้องเลิกล้มไปตามที่โจทก์กล่าวหาเช่นนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้โดยแจ้งชัดว่า โจทก์ได้ขาดเสียผลอันพึงบังเกิดจากทรัพย์สินตามเจตน์จำนงที่อุทิศให้ไปนั้นโดยสิ้นเชิงจึงถ้าเป็นความจริงดังโจทก์กล่าวหานี้ การกระทำของจำเลยก็ส่งผลให้เป็นความเสียหายแก่โจทก์โดยตรง ยังการที่จำเลยกระทำให้มูลนิธิต้องเลิกล้มไปไม่อยู่ในฐานะจะว่ากล่าวเอาเรื่องแก่จำเลยได้ประกอบกับกระทรวงมหาดไทยผู้ดูแลมูลนิธิก็ไม่เอาธุระในเรื่องนี้อีกด้วย โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงอยู่ในฐานะควรเป็นผู้เสียหายยิ่งขึ้นไปอีกด้วย เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะต้องเสียหายเห็นปานนี้ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่จึงเห็นว่า โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายตามความใน มาตรา 2(4) และมีอำนาจฟ้องคดีได้ตาม มาตรา 28(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

พิพากษากลับศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและให้ศาลแขวงพระนครใต้วินิจฉัยมูลฟ้องของโจทก์ต่อไปใหม่ตามกระบวนความ

Share