คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คณะกรรมการของมัสยิดซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ประชุมลงมติให้จำเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้หนึ่งไปแจ้งต่ออำเภอว่าเป็นเจ้าของครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของมัสยิดเป็นการชั่วคราวเพื่อความสะดวกที่จะให้เช่าและกันคนอื่นถือสิทธิต่อไป จำเลยก็นำความไปแจ้งต่อปลัดกิ่งอำเภอว่า จำเลยเป็นเจ้าของหากว่าการแจ้งของจำเลยเช่นนี้ไม่มีเจตนาทุจริต เป็นที่รู้กันระหว่างจำเลยกับคณะกรรมการมัสยิดและมัสยิดหรือผู้ใดไม่ได้เสียหายหรืออาจเสียหายแต่ประการใดไม่มีผิดฐานแจ้งความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 3 เป็นกรรมการของมัสยิด ได้นำความเท็จไปแจ้งแก่ปลัดกิ่งอำเภอว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยความจริงเป็นทรัพย์สินของมัสยิด ทำให้โจทก์และบรรดาผู้นับถือศาสนาอีสลามได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษ

ข้อเท็จจริงได้ความว่าทรัพย์สินรายนี้เป็นของมัสยิด จำเลยได้ไปแจ้งการครอบครองว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ก็โดยคณะกรรมการของมัสยิดได้ประชุมลงมติให้จำเลยที่ 1 ไปแจ้งในนามของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองส่วนตัวชั่วคราวเพื่อสะดวกในการให้เช่าและกันคนอื่นถือสิทธิ จำเลยหาได้กระทำไปโดยพลการไม่ ผลประโยชน์ที่ได้ก็นำบำรุงมัสยิด มิได้เอาเป็นส่วนตัว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ผู้เสียหายคือมัสยิดซึ่งเป็นนิติบุคคลโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นนั้น จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตคิดจะเอาที่พิพาทหรือผลประโยชน์อันเกิดจากที่พิพาทเป็นของตน หากแต่เป็นการกระทำที่รู้กันระหว่างจำเลยกับคณะกรรมการมัสยิด มัสยิดหรือผู้ใดไม่ได้เสียหายหรืออาจเสียหายแต่ประการใด ไม่เป็นผิดฐานแจ้งความเท็จตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 118

พิพากษายืน

Share