คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8583/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยดันรถจักรยานยนต์ไปชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนั่งซ้อนมาจนล้มลง เพื่อให้พวกของจำเลยรุมทำร้ายผู้เสียหายจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยและนายมานพหรือเอก วิบูลย์ศิริรักษ์ ซึ่งศาลได้พิพากษาแล้ว กับพวกอีกหลายคนยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธมีด จำนวน 1 เล่ม ติดตัวไปบริเวณร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊สั้น ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร และจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายจิณณาภัทร สรไกร ผู้เสียหาย โดยใช้อาวุธมีดฟันประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายหลายครั้งบริเวณหลังและแขนจนกระดูกแขนข้างขวาหักและมีบาดแผลฉีกขาดบริเวณหลัง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ต้องทุพพลภายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกิน 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 371, 91, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (ที่ถูก มาตรา 297 (8)) ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 1 ปี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน เขต 6 จังหวัดนครสวรรค์มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันพิพากษา ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสเสียด้วย (ที่ถูกข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวในฟ้อง นายมานพ วิบูลย์ศิริรักษ์ กับพวกร่วมกันรุมทำร้ายผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมทำร้ายผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่า วันเกิดเหตุตอนค่ำผู้เสียหายไปหาคนรักที่หอพักคีรีวงศ์ แล้วมีเรื่องจะชกต่อยกับนายมานพแต่บังเอิญมีเจ้าพนักงานตำรวจมาบริเวณที่เกิดเหตุจึงเลิกรากันไป ต่อมาเวลาประมาณ 23 นาฬิกา ผู้เสียหายกับเพื่อนหลายคนขับรถจักรยานยนต์ไปซื้ออาหารที่ตลาด โดยรถจักรยานยนต์คันที่ผู้เสียหายนั่งนั้นมีนายวีระชัย โพธิ์มา เป็นคนขับ ผู้เสียหายนั่งซ้อนตรงกลาง และนายทรงยศ พลกาย นังซ้อนท้ายหลังสุด ระหว่างทางพบนายมานพกับเพื่อนหลายคนขับรถจักรยานยนต์ส่วนทางมาผู้เสียหายบอกให้นายวีระชัยขับรถหนี นายวีระชัยขับรถไปทะทุหนองสมบูรณ์แล้วเลี้ยวซ้ายเลาะหนองสมบูรณ์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊สั้น พบจำเลยซึ่งผู้เสียหายไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ทราบชื่อภายหลัง โดยจำเลยนำรถจักรยานยนต์มาจอดขวางแล้วดันรถที่จอดอยู่เข้ามาพุ่งชนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่กำลังแล่นอยู่ รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มลง จำเลยกับพวกเข้ามารุมชกต่อย ขณะนั้นกลุ่มของนายมานพขับรถจักรยานยนต์ตามมาทัน นายมานพกับพวกร่วมกับจำเลยรุมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส เห็นว่า แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่ผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นคนร้ายที่ดันรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่เข้ามาชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนั่งมา และร่วมกับพวกรุมทำร้ายผู้เสียหายจริง โดยหลังจากผู้เสียหายออกจากโรงพยาบาทแล้วผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยโดยระบุว่าจำเลยเป็นคนร้าย ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งตามบันทึกคำให้การดังกล่าวและตามคำเบิกความของผู้เสียหายได้ความว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าสาธารณะและไฟฟ้าจากร้านค้า โดยจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ทั้งผู้เสียหายเบิกความตอบที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามค้านว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน เพียงแต่ไม่รู้จักชื่อจึงเชื่อว่าผู้เสียหายเห็นและจดจำจำเลยได้จริง ประกอบกับจำเลยนำสืบรับว่า จำเลยเห็นเหตุการณ์ขณะนายก๊อฟไม่ทราบชื่อตัวและชื่อสกุลจริงซึ่งเป็นพวกของจำเลยกับพวกของนายก๊อฟรุมทำร้ายผู้เสียหาย อันเป็นการเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ และนอกจากผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายแล้วได้ความจากนายทรงยศ พลกาย ซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันเดียวกับผู้เสียหายขณะเกิดเหตุเบิกความตอบที่ปรึกษากฎหมายจำเลยถามว่า พยานเคยให้การติดต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถจักรยานยนต์ดันเข้ามาชนรถจักรยานยนต์คันที่พยานกับผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายมา นายทรงยศไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและเป็นผู้ให้การต่อพนักงานสอบสวนด้วยความสมัครใจ หากจำเลยไม่ใช่คนร้ายแล้วนายทรงยศก็ควรให้การต่อพนักงานสอบสวนตั้งแต่แรก การที่นายทรงยศกลับมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า จำเลยไม่ใช่คนร้ายและให้การต่อพนักงานสอบสวนเพราะทราบว่าผู้เสียหายให้การว่า จำเลยเป็นคนร้ายจึงให้การตามผู้เสียหาย จึงไม่มีเหตุผลให้รับฟัง พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้ดันรถจักรยานยนต์ไปชนกับรถจักรยานยนต์ของนายวีระชัยจนล้มลง เพื่อให้พวกของจำเลยรุมทำร้ายผู้เสียหายจนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 16 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 1 ปี อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 6 จังหวัดนครสวรรค์มีกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว.

Share