คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 858/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้ศาลรับฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จึงจะลงโทษจำเลยได้ ลำพังแต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนไม่อาจจะยกขึ้นมาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ อีกทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักเพียง 13.50 กรัม และไม่ปรากฏว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้จำนวนเท่าใด จึงไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม) ที่จะถือว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 91, 102 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) จำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจโทเชาวลิต เนียมวดี กับพวก ร่วมกันจับกุมจำเลยได้และยึดได้เมทแอมเฟตามีน 150 เม็ด น้ำหนัก 13.50 กรัม หลอดเครื่องดื่ม 37 หลอด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นของกลาง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาได้ความเพียงว่า ก่อนจับกุมจำเลยประมาณ 1 สัปดาห์ พันตำรวจโทเชาวลิตสืบทราบว่าจำเลยและภริยาลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านของจำเลย แล้วพันตำรวจโทเชาวลิตกับพวกขอหมายค้นจากศาลชั้นต้นไปตรวจค้นบ้านของจำเลยเท่านั้น ไม่ได้มีการวางแผนเพื่อจับกุมโดยวิธีการล่อซื้อ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามที่สืบทราบและมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง ทั้งตามหมายค้นก็ระบุว่าผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่บ้านของจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ถึงอย่างไรก็ตามข้อความที่สืบทราบมาดังกล่าวโจทก์มีแต่พันตำรวจโทเชาวลิตเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนย่อมมีน้ำหนักน้อย และแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาล แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้ศาลรับฟังได้จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง จึงจะลงโทษจำเลยได้ ลำพังแต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนไม่อาจจะยกขึ้นมาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ และแม้เมทแอมเฟตามีนของกลางจะมีจำนวน 150 เม็ด ก็ไม่แน่ว่าจำเลยจะมีไว้เพื่อจำหน่ายเสมอไป ทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางมีน้ำหนักเพียง 13.50 กรัม และไม่ปรากฏว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้จำนวนเท่าใด จึงไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม) ที่จะถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความจริง แต่พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักพอฟังว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share