คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยการพนักงานจะระบุว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงานทุกตำแหน่ง เป็นอำนาจของผู้อำนวยการก็ตาม แต่ก็ยังมีระเบียบของจำเลยว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีของพนักงานระบุว่ากรณีจะรอการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างไว้ก่อนได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่พนักงานอยู่ในระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยหรือทางคดีอาญา เมื่อยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์อยู่ในระหว่างสอบสวนทางวินัย ประกอบคณะกรรมการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างของจำเลยมีมติให้เลื่อนขั้นเงินเดือนโจทก์ 1 ขั้นแล้ว ผู้อำนวยการของจำเลยจึงไม่มีอำนาจชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งรักษาการหัวหน้าฝ่ายการทอผ้า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2534 คณะกรรมการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีงบประมาณ 2534 ซึ่งจำเลยแต่งตั้ง ได้มีมติเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ 1 ขั้น จากชั้นที่ 25 เป็นชั้นที่ 26 แต่จำเลยไม่มีคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ตามมติของคณะกรรมการ อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีของพนักงาน พ.ศ. 2533ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีงบประมาณ 2534 จากชั้นที่ 25 เป็นชั้นที่ 26 และให้จ่ายย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2534 ให้โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเพียงแต่ชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ เนื่องจากรอผลการสอบสวนกรณีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายหากผลการสอบสวนปรากฏว่าโจทก์ไม่มีความผิด จำเลยจะออกคำสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนย้อนหลังให้โจทก์จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจมูลคดีที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเรื่องสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับเงินเดือน ค่าจ้าง ซึ่งต้องด้วยกรณีตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะยังไม่ได้ร้องทุกข์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์และยังไม่ได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลแรงงานกลาง โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า โจทก์ไม่เคยร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์และคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ก่อนนำคดีมาฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า คณะกรรมการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างของจำเลยได้มีมติให้เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ 1 ขั้น ต่อมาผู้อำนวยการองค์การจำเลย มีคำสั่งให้ชะลอการพิจารณาเลื่อนบำเหน็จของโจทก์ไว้ก่อนผู้อำนวยการของจำเลยมีอำนาจใช้ดุลพินิจชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์ไว้ก่อนได้ ประเด็นข้ออื่นจึงไม่ต้องวินิจฉัยพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา ที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ผู้อำนวยการของจำเลยมีอำนาจชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์ประจำปีงบประมาณ 2534 ได้หรือไม่เห็นว่า แม้ข้อบังคับองค์การทอผ้าว่าด้วยการพนักงาน พ.ศ. 2523ข้อ 16 วรรคสอง ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 จะได้ระบุไว้ว่าการเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงานทุกตำแหน่งเป็นอำนาจของผู้อำนวยการก็ตาม แต่ระเบียบองค์การทอผ้าว่าด้วยการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างประจำปีของพนักงาน พ.ศ. 2533 หมวด 2เรื่องการงดเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้าง ข้อ 18.4 ตามเอกสารหมาย ล.38 ระบุไว้ว่า กรณีที่จะรอการพิจารณาเลื่อนขึ้นเงินเดือนและค่าจ้างไว้ก่อนได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่พนักงานอยู่ในระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยหรือทางคดีอาญา ฉะนั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาว่า ยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์อยู่ในระหว่างถูกสอบสวนทางวินัย ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตามประกอบกับได้ความว่าคณะกรรมการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างของจำเลยได้มีมติให้เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ 1 ขั้น ผู้อำนวยการของจำเลยจึงไม่มีอำนาจชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์ประจำปีงบประมาณ 2534 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ผู้อำนวยการของจำเลยมีอำนาจใช้ดุลพินิจชะลอการเลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์ไว้ก่อนได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นแต่ศาลแรงงานกลางยังมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อ 2 ที่ว่า โจทก์ต้องร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์และคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ก่อนนำคดีมาฟ้องหรือไม่ จึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อนี้เสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นข้อ 2 เสียก่อน แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share