แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลในคดีก่อนพิจารณาว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) ไม่ได้ระบุอ้างบันทึกข้อตกลงในโฉนดที่ดินเป็นพยาน ทั้งบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร แม้ภายหลังจำเลย (โจทก์คดีนี้) จะส่งต้นฉบับต่อศาล แต่ก็เป็นเวลาหลังจากสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ว โดยไม่มีพยานมาสืบประกอบ จึงรับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มีน้ำหนักให้รับฟังยิ่งกว่าพยานจำเลย (โจทก์คดีนี้) ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ตกลงจะจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ก่อนให้ชำระหนี้ค่าที่ดิน พิพากษายกฟ้องแย้ง ถือได้ว่าศาลได้วินิจฉัยเนื้อหาของประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนแล้ว เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยนำที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันไปจดทะเบียนภาระจำยอม อ้างเหตุตามบันทึกข้อตกลงเดียวกัน มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามมิให้โจทก์นำมาว่ากล่าวฟ้องร้องเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อนอีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๙๒๙ ตำบลบางอ้อ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ ตำบลบางอ้อ อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๙๒๙ ไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ ของโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๒๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ เนื้อที่ ๒ งาน ๙๘ ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ จำเลยได้ขายที่ดินให้โจทก์และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม จำนวนเนื้อที่ ๒ งาน ๑๙ ตารางวา โดยโจทก์ต้องชำระราคาแก่จำเลยเป็นจำนวน ๒,๘๔๒,๑๘๗ บาท แต่โจทก์ชำระให้แก่จำเลยไม่ครบ ยังคงค้างชำระอยู่เป็นจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาปี ๒๕๓๕ ได้มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ ส่วนของจำเลยออกเป็นโฉนดเลขที่ ๑๔๘๙๒๙ เนื้อที่ ๗๙ ตารางวา มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ส่วนโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ แต่ผู้เดียว ต่อมาจำเลยได้ฟ้องเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ยังค้างชำระอยู่จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลแพ่ง โจทก์ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้ง ศาลแพ่งรับฟ้องแย้งและทำการพิจารณาแล้ว มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลย แต่ให้ยกฟ้องแย้ง ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๑๘๔/๒๕๓๘ ของศาลแพ่ง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๑๘๔/๒๕๓๘ ของศาลแพ่ง หรือไม่ เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๑๘๔/๒๕๓๘ ของศาลแพ่ง จำเลยคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย คู่ความในคดีดังกล่าวกับคดีนี้จึงเป็นคู่ความเดียวกัน โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวได้ฟ้องแย้งขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๙๒๙ ให้แก่โจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยโดยมีข้อตกลงว่าเมื่อจำเลยแบ่งแยกที่ดินแล้ว จำเลยจะต้องจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกออกไปให้แก่ที่ดินของโจทก์ก่อนที่โจทก์จะชำระหนี้ที่ค้างจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ศาลแพ่งพิจารณาแล้ววินิจฉัยในประเด็นที่ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ตกลงจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ก่อนให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) ชำระหนี้ที่ค้างจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม่ ว่าจำเลย (โจทก์คดีนี้) มิได้ระบุอ้างบันทึกข้อตกลงนั้นเป็นพยานบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงสำเนาเอกสาร แม้ต่อมาภายหลังจำเลย (โจทก์คดีนี้) จะได้ส่งต้นฉบับต่อศาล ก็เป็นเวลาภายหลังสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ว โดยไม่มีพยานมาสืบประกอบต้นฉบับบันทึกข้อตกลงดังกล่าว จึงรับฟังตามบันทึกข้อตกลงในโฉนดที่ดินดังกล่าวไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์ (จำเลยคดีนี้) มีน้ำหนักให้รับฟังยิ่งกว่าพยานจำเลย (โจทก์คดีนี้) ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ตกลงจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่จำเลย (โจทก์คดีนี้) ก่อนให้จำเลย (โจทก์คดีนี้) ชำระหนี้ที่ค้าง แล้วพิพากษายกฟ้องแย้ง เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยดังกล่าวถือได้ว่าศาลแพ่งได้วินิจฉัยเนื้อหาของประเด็นข้อพิพาทในข้อนี้แล้ว ไม่ใช่วินิจฉัยเพียงวิธีการนำเสนอพยานหลักฐานดังที่โจทก์แก้ฎีกามา คดีนี้โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๙๒๙ ไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๖๑๓๙ ของโจทก์ อ้างว่าขณะซื้อที่ดินจากจำเลย มีข้อตกลงว่าเมื่อแบ่งแยกโฉนดที่ดินแล้ว จำเลยต้องนำที่ดินที่แบ่งแยกออกไปไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินที่โจทก์ซื้อ ซึ่งจำเลยได้ให้การปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงจะไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินของโจทก์ ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยตกลงจะจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินของจำเลยที่แบ่งแยกออกไปให้แก่ที่ดินโจทก์จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๑๘๔/๒๕๓๘ ของศาลแพ่ง ที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงจะจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์และคดีถึงที่สุดแล้ว จึงต้องห้ามมิให้โจทก์นำมาว่ากล่าวฟ้องร้องเอาแก่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อนอีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๑๘๔/๒๕๓๘ ของศาลแพ่ง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๖,๐๐๐ บาท.