แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีประจักษ์พยานเพียงปากเดียวที่ยืนยันว่าจำเลยกับพวกทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแต่คำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวแตกต่างขัดกันกับพยานโจทก์บางปากและขัดต่อเหตุผลคำเบิกความของประจักษ์พยานดังกล่าวจึงเป็นพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่น่าเชื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ที่ไม่พอฟังลงโทษจำเลยคนที่ฎีกาเป็นข้อเท็จจริงในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยคนที่มิได้ฎีกาด้วยได้ตามป.วิ.อ.มาตรา213,225.
ย่อยาว
คดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1828/2526 และ 1830/2526 ของศาลชั้นต้น โดยโจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องว่าจำเลยนี้กับพวกร่วมกันพยายามปล้นเอาโค 3 ตัวของผู้เสียหายไป ขอให้ลงโทษ
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งสามสำนวน
โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยและนายวันชัย เผือกเจริญจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1830/2526 ของศาลชั้นต้น มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 340 วรรคแรก ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 จำคุกคนละ6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฏีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับพยานหลักฐานของโจทก์ว่า คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียวที่ยืนยันว่านายวันชัยเผือกเจริญ เข้าไปลักโคและร่วมกับจำเลยทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อคำผู้เสียหายแตกต่างขัดกันกับคำพยานโจทก์บางปาก และขัดต่อเหตุผลคำผู้เสียหายจึงเป็นพิรุธน่าระแวงสงสัยไม่น่าเชื่อว่ารู้เห็นจริงดังที่เบิกความ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังว่าจำเลยพยายามปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย
เนื่องจากจำเลยและนายวันชัย เผือกเจริญ ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิดข้อเท็จจริงที่วินิจฉัยมาแล้วอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงนายวันชัย เผือกเจริญ ซึ่งมิได้ฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.