คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8561/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีหนังสือเตือนให้โจทก์นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระเนื่องจากศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดมิให้ถือจำนวนเงินตามเช็คชำระราคาที่ดินที่เรียกเก็บไม่ได้ 2,254,000 บาท เป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ในปีภาษี 2534 จำเลยจึงคิดคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่โดยหักเงินดังกล่าวออก จึงเป็นการแจ้งเตือนให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเท่านั้น แม้หนังสือแจ้งเตือนจะระบุการคำนวณภาษีการค้าใหม่มาด้วยก็เป็นผลต่อเนื่องจากการที่ศาลฎีกาให้ลดเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินลง จำเลยจึงปรับปรุงลดยอดรายรับที่ต้องเสียภาษีการค้าให้ด้วยนับว่าเป็นประโยชน์แก่โจทก์ให้เสียภาษีอากรน้อยลง ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งจำนวนภาษีอากรค้างชำระตามที่จำเลยคำนวณใหม่เพียงแต่อ้างว่าจำเลยไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีอากรค้างชำระเพราะขาดอายุความ จำเลยหาได้กระทำการใดอันจะถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ในทางแพ่งของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ต้องเสียภาษี และให้เพิกถอนการคำนวณและการเรียกเก็บภาษีซึ่งจำเลยได้คำนวณภาษีที่โจทก์ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2548 เป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเงิน 1,237,476.95 บาท และภาษีการค้าเป็นเงิน 974,031.63 บาท แต่ภาษีการค้าได้หักกลบลบหนี้บางส่วนเป็นเงิน 249,955.90 บาท รวมภาษีคงค้าง 1,961,552.68 บาท
จำเลยให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันฟังยุติได้ว่า โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและหนังสือแจ้งภาษีการค้ากรณีการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างรายพิพาท โจทก์อุทธรณ์การประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ลดเบี้ยปรับแก่โจทก์ คงเรียกเก็บเบี้ยปรับเพียงร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย โจทก์ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลภาษีอากรกลางขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เฉพาะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 151/2545 หมายเลขแดงที่ 3/2546 ของศาลภาษีอากรกลาง ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยมิให้ถือจำนวนเงินตามเช็คที่เรียกเก็บไม่ได้อีก 16 ฉบับ จำนวน 2,254,000 บาท เป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ในปีภาษี 2534 จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1690/2548 ต่อมาจำเลยมีหนังสือคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2534 ใหม่ และคำนวณภาษีการค้าใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาโดยลดเงินได้พึงประเมินและรายรับจากการขายที่ดินลงจำนวน 2,254,000 บาท และมีหนังสือเตือนให้โจทก์นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ ข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ คือ จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์เตือนให้โจทก์นำเงินค่าภาษีอากรค้างไปชำระ ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่มีสิทธิคิดคำนวณจำนวนเงินภาษีอากรใหม่และเรียกเก็บค่าภาษีอากรดังกล่าวจากโจทก์ได้ เพราะสิทธิเรียกร้องในการเรียกเก็บภาษีอากรค้างชำระของจำเลยขาดอายุความ เห็นว่า เหตุที่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์เตือนให้นำเงินค่าภาษีอากรค้างไปชำระดังกล่าว เนื่องมาจากศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามฎีกาที่ 1690/2548 ให้โจทก์ชำระค่าภาษีอากรโดยมิให้ถือจำนวนเงินตามเช็คที่เรียกเก็บไม่ได้อีก 16 ฉบับ จำนวน 2,254,000 บาท เป็นเงินได้พึงประเมินของโจทก์ในปีภาษี 2534 จำเลยจึงคิดคำนวณภาษีอากรใหม่โดยหักจำนวนเงินภาษีอากรที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้แก้ไขนั้นออก จึงเป็นการแจ้งเตือนให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น แม้ตามหนังสือแจ้งเตือนจะระบุการคำนวณภาษีการค้าใหม่มาด้วยก็เป็นผลต่อเนื่องจากการที่ศาลฎีกาให้ลดเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินลงจำนวน 2,254,000 บาท จำเลยจึงปรับปรุงลดยอดรายรับที่ต้องเสียภาษีการค้าให้ด้วย นับว่าเป็นประโยชน์แก่โจทก์ให้เสียภาษีอากรน้อยลง โจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าจำนวนค่าภาษีอากรที่ค้างชำระ ตามที่จำเลยคำนวณใหม่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวไม่ถูกต้องแต่อย่างใด เพียงแต่กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่มีสิทธิเรียกเก็บภาษีอากรค้างชำระเพราะขาดอายุความ จำเลยหาได้กระทำการใดอันจะถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ในทางแพ่งของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share