แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้ผู้เสียหายพักอยู่กับยาย แต่เมื่อยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาที่สมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย พฤติการณ์ที่จำเลยให้ผู้เสียหายไปทำความสะอาดห้องนอนของจำเลย แล้วตามไปกระทำชำเราผู้เสียหายให้ห้องนอนของตนในครั้งแรกก็ดี และเมื่อผู้เสียหายไปหาจำเลยที่บ้านเพื่อสอบถามถึงเหตุที่จำเลยไม่รับผิดชอบ จำเลยกลับกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นครั้งที่สองก็ดี ล้วนเป็นการกระทำอันล่วงล้ำอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้เสียหายทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากผู้เสียหายซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา แต่การที่จำเลยยังมิได้มีภริยาจึงอยู่ในสถานะที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันสามีภริยาได้ ทั้งหลังเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันโดยได้รับอนุญาตจากศาล ย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยได้ว่าประสงค์จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยาการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยได้พรากเด็กหญิง ก. ผู้เสียหายซึ่งมีอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากนางบังอร เจริญชัย ผู้เป็นมารดา (ที่ถูกนางบังอรและนายทวีศักดิ์ เจริญชัยผู้เป็นบิดามารดา) เพื่อการอนาจาร จากนั้นจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภรรยาของตน จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากนางบังอรผู้เป็นมารดาเพื่อการอนาจาร จากนั้นจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายอีกครั้งหนึ่ง โดยในการกระทำชำเราทั้งสองครั้ง จำเลยได้ผลักผู้เสียหายให้นอนลงแล้วขึ้นคร่อมทับตัวผู้เสียหายไว้ จนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้จากนั้นจำเลยถอดเสื้อผ้าของตนเองและของผู้เสียหายออกแล้วกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ เหตุเกิดที่ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317 วรรคสาม, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก, 317 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน15 ปี รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจารรวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปีรวมทุกกระทงจำคุก 18 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 9 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องทั้งข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี และข้อหาพรากผู้เยาว์
โจทก์ฎีกา เฉพาะข้อหาพรากผู้เยาว์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุเด็กหญิง ก. ผู้เสียหายอายุ 14 ปีเศษ พักอาศัยอยู่กับยายที่บ้านเลขที่ 170หมู่ที่ 6 ตำบลปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 13เมษายน 2542 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ผู้เสียหายไปดูภาพยนต์ที่งานวัดราษฎร์นิยมจนเวลา 1 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น พบกับจำเลยแล้วพากันไปเดินเล่นใต้ถุนบ้านพี่ชายของจำเลย จำเลยบอกให้ผู้เสียหายช่วยทำความสะอาดห้องนอน เมื่อผู้เสียหายเข้าไปภายในห้องนอน จำเลยตามเข้าไปกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ต่อมาวันที่ 5กรกฎาคม 2542 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา ผู้เสียหายเดินทางไปพบจำเลยที่บ้านเพื่อสอบถามว่าเหตุใดจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วไม่รับผิดชอบจำเลยดึงแขนผู้เสียหายเข้าไปในห้องนอน แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอมจนสำเร็จความใคร่อีก 1 ครั้ง หลังเกิดเหตุบิดามารดาของผู้เสียหายทราบเรื่องจึงพาผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ศาลอนุญาตให้จำเลยและผู้เสียหายสมรสกัน สำหรับข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยโจทก์ไม่ได้ฎีกาคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารหรือไม่ เห็นว่า ขณะเกิดเหตุแม้ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่กับยาย แต่เมื่อยังไม่บรรลุนิติภาวะย่อมต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาซึ่งสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมายพฤติการณ์ของจำเลยที่ให้ผู้เสียหายไปทำความสะอาดห้องนอนของจำเลยแล้วตามไปกระทำชำเราผู้เสียหายในห้องนอนของตนในครั้งแรกก็ดี และเมื่อผู้เสียหายไปหาจำเลยที่บ้านเพื่อสอบถามว่าเหตุใดจำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายแล้วจึงไม่รับผิดชอบ จำเลยกลับกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นครั้งที่สองก็ดี ล้วนเป็นการกระทำอันล่วงล้ำต่ออำนาจปกครองของบิดามารดาผู้เสียหายทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากเหตุอันสมควรพรากผู้เสียหายซึ่งอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา อย่างไรก็ดีการที่จำเลยยังมิได้มีภริยา จึงอยู่ในสถานะที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันสามีภริยาได้และได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุคดีนี้แล้ว ผู้เสียหายประสงค์ที่จะขออนุญาตทำการสมรสกับจำเลย แสดงว่าผู้เสียหายและจำเลยต่างก็รักใคร่ชอบพอกัน ทั้งต่อมาผู้เสียหายกับจำเลยก็ได้จดทะเบียนสมรสโดยได้รับอนุญาตจากศาล ย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยได้ว่าประสงค์ที่จะเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภริยา พฤติการณ์ของจำเลยจึงมิใช่เป็นการพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารแต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา รวมสองกระทงจำคุกกระทงละ 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 2 ปี 12 เดือน โทษที่จำเลยได้รับแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 2 ปี จำเลยเป็นนักศึกษาและเป็นญาติของผู้เสียหาย ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่จดทะเบียนสมรสกับผู้เสียหาย ทั้งได้เยียวยาความเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายแล้ว จึงถือเป็นเหตุอื่นควรปรานี ให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4