คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8528/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ซึ่งหากศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ย่อมมีผลให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นอันเพิกถอนไปในตัว จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 โดยศาลไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติก่อน เพราะกรณีมิใช่เรื่องที่จำเลยมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมา ก็ไม่มีผลทำให้อุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระภาษีอากร เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม 1,801,437.14 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้าจำนวน 80,684 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2555
โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า ขอให้ศาลในคดีนี้รับฟังข้อเท็จจริงจากการสืบพยานบุคคลและพยานเอกสารในคดีหมายเลขแดงที่ 118/2555 โดยให้ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงในคดีนี้ ศาลภาษีอากรกลางอนุญาตตามที่คู่ความขอ
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสองส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องและหมายนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองไปยังสำนักทำการงานของจำเลยตามที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 68 โดยปิดหมายไว้ในที่เปิดเผย จึงถือได้ว่าเป็นการปิดหมายโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ไม่เคยได้รับหมายนัด จำเลยจึงไม่ได้ต่อสู้คดี เนื่องจากที่ทำการของบริษัทและโรงงานของจำเลยตั้งอยู่ที่เดียวกัน ในช่วงเดือนตุลาคม 2544 มีโจรชุกชุมและมีผู้ก่อความไม่สงบข่มขู่วางระเบิดโรงงานเพื่อเรียกค่าคุ้มครอง บริษัทและโรงงานของจำเลยจึงได้ปิดกิจการลงเป็นบริษัทและโรงงานร้าง แต่ที่จำเลยทราบว่าถูกฟ้องเนื่องจากมีบุคคลอื่นซึ่งเคยทำงานกับจำเลยและอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับบริษัทและโรงงานของจำเลยได้ติดต่อกับผู้จัดการคนเก่าของจำเลยว่า มีเอกสารตราครุฑข้างล่างเขียนว่าในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์มากองอยู่หน้าบริษัทจำเลยเป็นจำนวนมาก จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณานั้น เห็นว่า ปรากฏจากทางไต่สวนว่าจำเลยได้ยื่นงบดุลและงบกำไรขาดทุนต่อกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังระบุที่ตั้งสำนักงานของจำเลยเพื่อยื่นงบดุล งบกำไรขาดทุน ตลอดจนเพื่อยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามภูมิลำเนาที่ระบุในหนังสือรับรองของบริษัทจำเลย โดยมิได้มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาหรือการประกอบกิจการว่ามีการเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาหรือมีการเลิกการประกอบกิจการแล้วตามที่จำเลยกล่าวอ้าง และเมื่อตรวจงบดุลและงบกำไรขาดทุนของบริษัทจำเลยแล้ว ปรากฏว่าบริษัทจำเลยยังคงมีทรัพย์สิน 645,563,517.72 บาท เมื่อรับฟังประกอบกับการที่จำเลยมิได้ทำการจดทะเบียนเลิกบริษัท ทั้งที่จำเลยกล่าวอ้างว่าบริษัทจำเลยเป็นบริษัทและโรงงานร้าง และจำเลยมิได้ประกอบกิจการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 จึงแสดงให้เห็นว่าบริษัทจำเลยยังคงประกอบกิจการมาโดยตลอด มิได้เป็นบริษัทและโรงงานร้างจริงอย่างที่จำเลยกล่าวอ้าง และจำเลยยังคงมีภูมิลำเนาตามที่ระบุในหนังสือรับรองบริษัทจำเลย ข้อกล่าวอ้างของจำเลยในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเป็นคดีนี้ ในขณะที่จำเลยนำพยานมาไต่สวนสนับสนุนว่าผู้จัดการคนเก่าของจำเลยลาออกจากบริษัทจำเลยไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2544 และโรงงานของจำเลยก็ปิดกิจการตั้งแต่ช่วงดังกล่าว นั้น เห็นว่า การที่บุคคลอื่นซึ่งเคยทำงานกับจำเลยและอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับบริษัทสามารถติดต่อกับผู้จัดการคนเก่าของจำเลย ซึ่งออกจากบริษัทจำเลยไปกว่า 10 ปี แล้วได้ โดยที่บริษัทและโรงงานของจำเลยเป็นบริษัทและโรงงานร้างจึงไม่น่าเชื่อ เมื่อรับฟังประกอบกับการที่ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสองมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีและหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเพิ่มเติมถึงจำเลย โดยส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลยตามที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองเช่นเดียวกัน ซึ่งเอกสารดังกล่าวก็มีจำนวนมากพอสมควร ทั้งยังส่งไปก่อนที่จะมีการฟ้องคดีนี้ แต่กลับไม่มีบุคคลใดแจ้งให้จำเลยทราบจึงขัดแย้งกับทางไต่สวนของจำเลย อีกทั้งหลังจากที่จำเลยนำเข้าสินค้าและโจทก์ที่ 1 ตรวจพบว่าจำเลยชำระภาษีไม่ถูกต้องแล้ว โจทก์ที่ 1 ก็ได้มีหนังสือเชิญพบถึงจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยมาชี้แจงและเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ จำเลยก็ผัดผ่อนมาโดยตลอด ที่จำเลยกล่าวอ้างว่าเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องจึงไม่ได้ต่อสู้คดี จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ จำเลยขาดพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง รวมทั้งหมายนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองให้แก่จำเลยทราบโดยชอบแล้ว การขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยจึงเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรที่จะพิจารณาคดีใหม่ ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า เห็นว่า จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ซึ่งหากศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ย่อมมีผลให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่บังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองเป็นอันเพิกถอนไปในตัว จำเลยจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 29 โดยศาลไม่จำต้องมีคำสั่งให้จำเลยปฏิบัติก่อน เพราะกรณีมิใช่เรื่องที่จำเลยมิได้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลโดยไม่ถูกต้องครบถ้วน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยมา ก็ไม่มีผลทำให้อุทธรณ์ของจำเลยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายไปได้ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share