แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 25 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ลงโทษจำคุก 7 ปี เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ ขณะกระทำผิดจำเลย มีมีดเป็นอาวุธ เป็นความผิดฐานเดิมไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ คือขณะกระทำผิดจำเลยไม่มีอาวุธ ทั้งความผิดทั้ง สองวรรคต่างเป็นความผิดอันยอมความกันไม่ได้ จึงเป็นกรณีแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 5 ปี ที่โจทก์ฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าขณะกระทำความผิดจำเลยมีมีดเป็นอาวุธหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม มิให้โจทก์ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง วรรคสาม
จำเลยให้การรับว่ากระทำชำเราผู้เสียหายจริง แต่มิได้ใช้อาวุธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม ลงโทษจำคุก ตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่มาก นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบมาตรา ๕๓ คงลงโทษจำคุก ๒๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง ลงโทษจำคุก ๑๔ ปี คำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๗ ปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า ที่โจทก์ฎีกาเพื่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะกระทำความผิดจำเลยมีมีดเป็นอาวุธหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง และคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสาม ลงโทษจำคุก ๒๕ ปี ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง ลงโทษจำคุก ๗ ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษาแก้จากความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือขณะกระทำผิดจำเลยมีมีดเป็นอาวุธ เป็นความผิดฐานเดิมโดยไม่ประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์คือขณะกระทำผิดจำเลยไม่มีอาวุธ ทั้งความผิดทั้งสองวรรคต่างก็เป็นความผิดอันยอมความกันไม่ได้ จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ แก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยเกิน ๕ ปี คดีจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคสอง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์