คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 851/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยและผู้ตายต่างเป็นภริยาของส. วันเกิดเหตุจำเลยนำปืนติดตัวตั้งใจไปพบผู้ตายที่บ้านของผู้ตายเมื่อพบผู้ตายจำเลยยื่นหนังสือที่ส. เขียนให้จำเลยซึ่งมีข้อความว่าส. จะหย่าร้างกับผู้ตายให้ผู้ตายอ่านแล้วจำเลยหยิบปืนที่ตระเตรียมมาจ้องยิงผู้ตายทันที2นัดติดๆกันพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงชัดว่าจำเลยโกรธผู้ตายด้วยอารมณ์หึงหวงแล้วจำเลยดำเนินการตามแผนการณ์เป็นลำดับมาด้วยความมุ่งหมายที่จะได้ส. มาเป็นสามีแต่ผู้เดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะและฐานฆ่านางกาญจนา ปานอุไร โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371, 289(4) ความผิดตามมาตรา 371 ปรับ 90 บาท ความผิดตามมาตรา 289(4) ให้ประหารชีวิต คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78, 53(1) คงปรับ 60 บาท และจำคุกจำเลยตลอดชีวิต
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาขอให้ลดโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความว่านางกาญจนาผู้ตายเป็นภริยานายสมบัติ ปานอุไร ได้จดทะเบียนสมรสกันมา 10 ปีเศษ…ส่วนจำเลยเพิ่งมาได้นายสมบัติเป็นสามีเมื่อ 1 ปีมานี้…ก่อนเกิดเหตุนายสมบัติไปนอนค้างบ้านจำเลย และได้เขียนหนังสือในกระดาษแผ่นหนึ่งให้จำเลยไว้มีข้อความว่าจะหย่าร้างกับผู้ตายภายในวันที่ 27 เมษายน2524 ถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2524 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 แล้วหลังจากนั้นนายสมบัติไม่ได้ไปพบจำเลยอีก จนวันที่ 25 พฤษภาคม 2524 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ได้ความว่าจำเลยเป็นฝ่ายไปพบผู้ตายที่บ้านของผู้ตายแล้วจึงเกิดเหตุคดีนี้ขึ้น ได้ความต่อไปว่าจำเลยนำปืนใส่กระเป๋าถือติดตัวไปด้วย แสดงว่าจำเลยได้ตระเตรียมการมาก่อนที่จะพบกับผู้ตายและเมื่อพบผู้ตายจำเลยก็แสดงความประสงค์ที่จะจัดการกับผู้ตายทันทีโดยยื่นเอกสารหมาย จ.1 ให้ผู้ตายดู เห็นว่าไม่ใช่เรื่องที่จำเลยต้องการไปหานายสมบัติ แต่ไม่พบคงพบแต่ผู้ตายดังที่จำเลยฎีกา และที่จำเลยฎีกาว่าผู้ตายพยายามจะเปิดลิ้นชักโต๊ะเสริมสวยแต่เปิดไม่ได้เพราะถูกจำเลยใช้ตะโพกกันไว้ ทำให้จำเลยคิดว่าผู้ตายจะเปิดลิ้นชักโต๊ะดังกล่าวหยิบปืน แต่ก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์ดังที่จำเลยคิดตรงข้ามกลับปรากฏว่าผู้ตายวิ่งหนีจะไปหลังร้าน แสดงว่าผู้ตายวิ่งหนีเพราะกลัวปืนที่จำเลยหยิบออกมาจากกระเป๋าและจ้องยิงผู้ตายมากกว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ตายวิ่งหนีเพื่อจะไปเอาปืนจากหลังร้านมายิงจำเลยจำเลยจึงได้หยิบปืนจากกระเป๋าขึ้นมายิงผู้ตาย 2 นัดติด ๆ กันดังที่จำเลยฎีกา การที่จำเลยหยิบปืนมาจ้องยิงผู้ตายหลังจากยื่นเอกสารหมายจ.1 ให้ผู้ตายอ่าน จนเป็นเหตุให้ผู้ตายต้องรีบวิ่งหนีแต่ไม่ทันและจากบาดแผลที่ปรากฏตามรายงานการตรวจศพได้ความว่ากระสุนปืนเข้าทะลุกล้ามเนื้อแขนซ้ายด้านนอกตัดขั้วหัวใจด้านซ้ายและทะลุปอดขวาแสดงว่าเมื่อจำเลยจ้องยิงผู้ตายนั้น จำเลยได้ยิงทันทีในขณะที่ผู้ตายเริ่มจะวิ่งหนี ขณะถูกยิงผู้ตายยังไม่ทันหันตัวกลับหลังก็ถูกยิงด้านข้างและล้มลงตรงนั้นเอง ถ้าจำเลยไม่ยิงทันที ผู้ตายก็คงจะไม่ถูกยิงในลักษณะหันข้างให้จำเลยเช่นนั้น และการที่จำเลยยิงผู้ตายถึง 2 นัดติด ๆ กัน ดังที่จำเลยฎีกาย่อมแสดงชัดว่าจำเลยโกรธผู้ตายด้วยอารมณ์หึงหวงของจำเลยเอง แล้วจำเลยก็ดำเนินการตามแผนการณ์เป็นลำดับมา ด้วยความมุ่งหมายที่จะได้นายสมบัติมาเป็นสามีแต่ผู้เดียวเมื่อไม่เป็นผลจำเลยจึงจัดการขั้นเด็ดขาดตามแผนการณ์ที่เตรียมมาพฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่เกิดจากอารมณ์ของจำเลยแต่ฝ่ายเดียว โดยผู้ตายไม่มีโอกาสทราบเรื่องล่วงหน้า และเมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิด ผู้ตายก็ไม่มีโอกาสจะต่อสู้ แม้คิดจะหนีก็ไม่มีโอกาสการกระทำโดยขาดความยับยั้งชั่งใจของจำเลย นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงและหลังจากกระทำผิดแทนที่จำเลยจะยอมรับสารภาพความผิดของตน จำเลยกลับต่อสู้คดีเรื่อยมา อ้างว่าเป็นการแย่งปืนกับผู้ตายจนปืนเกิดลั่นขึ้นเอง จำเลยเพิ่งยอมรับความจริงในชั้นฎีกา ที่ศาลล่างทั้งสองลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสาม เพราะคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่รับว่าจำเลยได้นำอาวุธปืนของกลางไปที่เกิดเหตุเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานั้น นับว่าเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุจะลดโทษให้จำเลยอีก ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share