แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยชักชวนผู้เสียหายให้นำเงินมาให้จำเลยนำไปเป็นทุนซื้อข้าวสารมากักตุนไว้ขายให้ตำรวจ และให้ตำรวจกู้และจะแบ่งผลกำไรและดอกเบี้ยให้ผู้เสียหายตกลงด้วย จึงมอบเงินให้ไปดังนี้ เป็นเรื่องการเข้ารวมทุนกันให้จำเลยจัดการหาผลประโยชน์เสมือนหนึ่งเป็นเงินของจำเลยเองกรณีไม่เรียกว่าจำเลยรับมอบครอบครองทรัพย์ผู้เสียหายไว้อันจะเข้าเกณฑ์เป็นความผิดฐานยักยอก
ย่อยาว
คดีทั้งสามสำนวนศาลรวมพิจารณาพิพากษา โดยโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาฉ้อโกงหรือยักยอกทรัพย์ โดยสองสำนวนแรกกล่าวหาว่าจำเลยรับราชการเป็นสมุหบัญชีกองกำกับการตำรวจภูธร บังอาจทุจริตหลอกลวงนายอ๋า วนิชศรี ชักชวนให้นำเงินมาให้จำเลยลงทุนซื้อข้าวสารมากักตุนไว้ขายให้ตำรวจ และจะแบ่งกำไรให้ครึ่งหนึ่งโดยการหลอกลวงเป็นเหตุให้จำเลยได้เงินไปจากผู้เสียหาย 15,000 บาทและสำนวนหลังจำเลยบังอาจทุจริตหลอกลวงนายใช้หรือสันทนะ เหลืองธานีชักชวนให้นำเงินมาให้จำเลยเพื่อนำออกให้ตำรวจกู้ และจะแบ่งดอกเบี้ยให้ครึ่งหนึ่ง โดยการหลอกลวงเป็นเหตุให้จำเลยได้เงินไปจากผู้เสียหาย 15,000 บาท ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจทุจริตหลอกลวงเพื่อได้ไปซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว หรือมิฉะนั้นได้รับมอบเงินจำนวนดังกล่าวไว้แล้ว บังอาจเบียดบังไว้เป็นของตนโดยทุจริตขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,352 และให้คืนหรือใช้ทรัพย์จำนวนที่จำเลยรับไปแก่เจ้าทรัพย์ และให้นับโทษต่อกัน
จำเลยให้การปฏิเสธทุกสำนวน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ในข้อหาฉ้อโกงเป็นฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด เพราะไม่กล่าวว่าความจริงเป็นอย่างไรแต่ฟังว่าจำเลยได้รับเงินไว้จากผู้เสียหายและเบียดบังไว้โดยทุจริต อันเป็นความผิดฐานยักยอก พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ให้จำคุกจำเลยสำนวนและมีกำหนด 6 เดือน รวมเป็นโทษจำคุก1 ปี 6 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งสอง
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสามสำนวน
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เป็นการลงทุนร่วมกันหาผลประโยชน์เข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อจำเลยไม่คืนทุนหรือผลกำไรจึงเป็นเรื่องผิดสัญญา แม้จำเลยจะปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินก็ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ทั้งข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ชัดว่า จำเลยได้รับเงินจากผู้เสียหายไปจริงหรือไม่ พิพากษากลับโดยให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายทั้งสองได้มอบเงินแก่จำเลยจริงเหตุที่นายอ๋าผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลย ก็เพราะต้องการผลกำไรที่จำเลยจะแบ่งให้จากการขายข้าวสารให้ตำรวจส่วนรายนายใช้ผู้เสียหายก็เพื่อได้รับแบ่งปันดอกเบี้ยที่จำเลยจะนำเงินออกให้ตำรวจกู้ พฤติการณ์เป็นเรื่องเข้ารวมทุนกับจำเลยสุดแต่จำเลยจะนำไปจัดการหาประโยชน์เสมือนหนึ่งเป็นทุนของจำเลยเอง จึงไม่เรียกว่าจำเลยได้รับมอบให้ครอบครองทรัพย์ของผู้เสียหายอันจะเข้าเกณฑ์เป็นความผิดฐานยักยอก
พิพากษายืน