คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า”พ่อค้า” ย่อมเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่า ผู้ที่ประกอบกิจการค้าเป็นปกติ มิใช่ว่า ถ้าผู้ใดกระทำการค้าเพียงชั่วครั้งคราวก็ถือว่าเป็นพ่อค้า
กระทรวงการคลังต้องการฝิ่นเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชน จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งให้มีอำนาจจัดซื้อฝิ่นจากเอกชนทั่วไปในภาคเหนือ ในการจัดหาซื้อฝิ่นนี้ เจ้าหน้าที่ได้ออกใบคุ้มครองกำหนดเขตที่จะไปหาฝิ่นให้ เมื่อได้ฝิ่นมาแล้ว จะนำไปขายแก่ผู้อื่นหรือใช้เองไม่ได้ ต้องขายแก่คณะกรรมการ ดังนี้จะเห็นได้ว่าพวกที่เข้าทำสัญญารับจะหาซื้อฝิ่นให้แก่คณะกรรมการนั้น เป็นการกระทำชั่วครั้งคราว มิได้เป็นการยั่งยืนดังลักษณะของพ่อค้าแต่อย่างใด ยิ่งเป็นเรื่องซื้อขายฝิ่นซึ่งตามปกติจะกระทำมิได้ เพราะกฎหมายห้าม ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่าจะถือว่าพวกเหล่านี้เป็นพ่อค้าไม่ได้ แม้จะปรากฎว่าบางคนได้จดทะเบียนพาณิชย์ตั้งร้านขายยาหรือทำป่าไม้ ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพ่อค้าขายฝิ่นรายนั้น ฉนั้นการที่พวกขายฝิ่นแก่คณะกรรมการจะฟ้องเรียกราคาฝิ่นจากคณะกรรมการหรือกระทรวงการคลัง จึงต้องถืออายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาฝิ่น แต่ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีให้จำเลยใช้ตั้งแต่วันฟังคำพิพากษาฎีกาเพราะมีกรณีมัวหมองระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย มิใช่จำเลยตระขัดสิน.

ย่อยาว

คดี ๘ สำนวนนี้ต่างโจทก์แต่จำเลยคนเดียวกันศาลจึงได้รวมพิจารณาพิพากษา ในคำฟ้องมีว่า ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในสถานะสงครามเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ กระทรวงการคลังจำเลยมีความต้องการฝิ่นเพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่ประชาชนตามวิธีการของรัฐบาลอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยได้แต่งตั้งข้าราชการขึ้นคณะหนึ่งเรียกชื่อว่า “คณะกรรมการจัดซื้อฝิ่นสหรัฐไทยเดิมหรือกรรมการจัดซื้อฝิ่นเคลื่อนที่” ให้มีอำนาจหน้าที่จัดซื้อฝิ่นจากเอกชนทั่วไปในภาคเหนือของประเทศไทยจำเลยโดยคณะกรรมการดังกล่าวนี้ได้ซื้อฝิ่นจากโจทก์และได้รับฝิ่นทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับชำระเงินค่าฝิ่นไปบ้างแล้ว คงค้างชำระอยู่อีก จึงขอให้พิพากษาบังคับจำเลยชำระเงินค่าฝิ่นที่ค้างกับดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ และตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องเกินกำหนดระยะเวลาอายุความมาตรา ๑๖๕ ข้อ ๑ และวรรคท้ายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ศาลแพ่งพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า บรรดาโจทก์ที่ขายฝิ่นแก่รัฐบาลนี้เป็นพ่อค้า ต้องนับอายุความตามมาตรา ๑๖๕ แต่โจทก์ฟ้องคดีเกิน ๕ ปีขาดอายุความ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้ง ๘ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีรายนายขวงเลียงและนายอุดมเป็นโจทก์ มีการรับสภาพหนี้ คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระราคาฝิ่นแก่นายชวงเลียงโจทก์และนายอุดมโจทก์ ฯลฯ ส่วนคดีสำหรับโจทก์รายอื่นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแพ่ง
โจทก์ ๖ สำนวนที่ศาลยกฟ้องฎีกา ส่วนโจทก์อีก ๒ สำนวนที่ชนะคดี ฎีกาในเรื่องดอกเบี้ย
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องเฉพาะคดี ๒ สำนวน
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำว่า”พ่อค้า” นี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่า ผู้ที่ประกอบกิจการค้าเป็นปกติธุระ มิใช้ว่าถ้าผู้ใดกระทำการค้าเพียงชั่วครั้งคราวก็ถือว่าเป็นพ่อค้า มิฉนั้นบุคคลที่ทำการซื้อขายชั่วครั้งคราวก็จะกลายเป็นพ่อค้าไปหมด
การที่พวกโจทก์เหล่านี้ เข้าทำสัญญารับจะหาซื้อฝิ่นมาขายแก่คณะกรรมการดังได้กล่าวแล้ว เป็นที่เห็นได้ว่าเป็นการกระทำชั่วครั้งคราว มิได้เป็นการยั่งยืนดังลักษณะของพ่อค้าแต่อย่างใด ยิ่งเป็นเรื่องซื้อขายฝิ่นซึ่งตามปกติจะกระทำมิได้เพราะกฎหมายห้ามแล้ว ก็ย่อมเห็นได้ชัดว่า จะเกณฑ์ให้บุคคลจำพวกโจทก์เหล่านี้เป็นพ่อค้าไม่ได้
อนึ่งแม้จะปรากฎว่า โจทก์บางคนได้จดทะเบียนพาณิชย์ตั้งร้านขายยายหรือทำป่าไม้ ก็ไม่พอฟังว่าเป็นพ่อค้าขายฝิ่นรายนี้ไปได้ เมื่อได้วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่พ่อค้าแล้ว ก็ต้องนับอายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๖๔ ซึ่งฟ้องโจทก์ยังอยู่ในกำหนดอายุความ และไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นว่าได้มีการับสภาพหนี้หรือไม่
ส่วนราคาซื้อขายฝิ่นจะควรคิดดังที่คณะกรรมการคิดให้เมื่อรับฝิ่นหรือที่กรมสรรพสามิตต์คิดให้ภายหลัง เห็นว่า ต้องคิดให้ตามที่คณะกรรมการคิดให้เมื่อรับฝิ่น เพราะได้รับฝิ่นไปแล้ว และไม่มีข้อโต้แย้งระหว่างผู้ขายกับคณะกรรมการผู้รับซื้อดังได้เคยวินิจฉัยไว้ในฎีกาที่๗๖๓/๒๔๙๒
จึงพิพากษากลับ ๖ สำนวน ให้จำเลยใช้เงินโจทก์ แต่ดอกเบี้ยให้จำเลยใช้ตั้งแต่วันฟังคำพิพากษานี้ในอัตรา ร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี เพราะมีกรณีมัวหมองระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย มิใช่จำเลยตระบัดสิน.

Share