คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8461/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการรับซื้อแร่ดีบุก ข้อ 6ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาซื้อแร่ดีบุกสุทธิไว้ว่า(ก)ให้หักค่าถลุงจากราคาซื้อแร่ดีบุกเบื้องต้น(ข) หักค่ามลทินสกปรก(ค) หักออกเป็นเงินบาทมีจำนวนค่าเท่ากับภาษีทั้งมวล (ไม่รวมภาษีเงินได้และภาษีบำรุงท้องที่)และอากรทั้งมวลที่บริษัทผู้ถลุงหรือผู้ซื้อต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทย หรือหน่วยราชการใด ๆ โดยเหตุเนื่องในการซื้อแร่ดีบุกในการถลุงโลหะดีบุกจากแร่ดีบุกและในการขายและส่งออกนอกประเทศไทย ซึ่งโลหะดีบุกที่ผลิตได้จากแร่ดีบุกและ (ง) ราคาซื้อเบื้องต้นสำหรับแร่ดีบุกเมื่อหักรายการต่าง ๆที่คิดหักตามข้อ 6(ก)(ข)และ(ค) แล้ว ก็เป็นราคาซื้อสิทธิดังนี้ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะนำเงินภาษีอากรมาหักเพื่อคำนวณราคาซื้อสุทธิตามข้อ 6(ค) นั้นคือเงินที่ผู้ซื้อต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการเนื่องในการซื้อแร่ดีบุกซึ่งมิได้กำหนดไว้ตายตัวแน่นอน แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าคือจำนวนที่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการเรียกเก็บอยู่ในขณะที่มีการซื้อขายกัน มิฉะนั้นเงินภาษีที่จะนำมาหักได้จึงต้องเป็นเงินที่ผู้ซื้อจำเป็นต้องเสียตามจำนวนที่แท้จริงเมื่อมีประกาศกระทรวงการคลังลดค่าภาษีการค้าลงร้อยละ 2ของค่าภาษีที่ต้องเสีย จำนวนที่ลดลงนี้ผู้ซื้อจึงไม่ต้องชำระจะนำมาหักออกจากราคาซื้อเบื้องต้นไม่ได้ ข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ชัดแจ้งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงหรือเจตนารมณ์ของคู่สัญญามาประกอบการตีความ จำเลยในฐานะผู้ซื้อจึงต้องรับผิดชำระเงินค่าแร่ดีบุกในส่วนที่ได้รับการลดภาษีร้อยละ 2 ของค่าภาษีการค้าคืนให้แก่โจทก์ เมื่อกรณีเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการคำนวณหาราคาแร่ดีบุกสุทธิที่ซื้อขายกันอยู่ว่าตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาควรเป็นอย่างไร ก่อนฟ้องจำเลยย่อมไม่ทราบราคาที่ต้องคืนว่ามีจำนวนแน่นอนเป็นเท่าใด ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระเงินคืนตั้งแต่เมื่อใดอันจะถือได้ว่าจำเลยผิดนัด ต้องถือว่าโจทก์เรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับแต่วันฟ้อง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ซื้อปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายแร่ดีบุกโดยให้ชำระเงินที่รับเกินไปซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม

ย่อยาว

คดีทั้งยี่สิบเอ็ดสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรกถึงสำนวนสุดท้ายเป็นโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 21 เรียงกันตามลำดับ
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดสำนวนฟ้องใจความว่า โจทก์ทั้งหมดยกเว้นโจทก์ที่ 19 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนจำกัดมีวัตถุประสงค์ทำเหมืองแร่ ซื้อขายแร่ทุกชนิด จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับการส่งเสริมประกอบอุตสาหกรรมจากรัฐบาลไทยให้เป็นผู้ถลุงดีบุก โดยได้รับอนุญาตแต่เพียงผู้เดียวให้รับซื้อแร่ดีบุกจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในราชอาณาจักรไทยเพื่อไปถลุงเป็นโลหะดีบุกส่งออกนอกราชอาณาจักรสำหรับราคารับซื้อแร่ดีบุกมีข้อกำหนดและเงื่อนไขให้จำเลยคิดคำนวณจากราคาตลาดดีบุกปีนัง ผลวิเคราะห์เป็นดีบุกสุทธิของแร่ดีบุกและน้ำหนักแห้งสุทธิของแร่ดีบุกเป็นราคาซื้อขาย”ราคาตลาดดีบุกปีนัง” หมายถึงราคาเป็นเงินเหรียญมาเลเซียสำหรับเนื้อดีบุกที่กำหนดและประกาศแต่ละครั้งของวันการค้าดีบุกที่ปีนัง สหพันธ์รัฐมาเลเซีย คิดคำนวณเป็นเงินบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดไว้ในวันเดียวกันนั้น และให้จำเลยหักออกเป็นเงินบาทมีค่าเท่ากับภาษีทั้งมวลที่จำเลยจะต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทยในการขายและส่งออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งโลหะดีบุกที่ผลิตได้จากแร่ดีบุกดังกล่าว โดยผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่นำแร่ไปขายเป็นผู้ชำระภาษีทั้งมวลแทนจำเลย จำเลยประกอบกิจการรับซื้อแร่ดีบุกจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2508 โดยในการรับซื้อแร่ดีบุกดังกล่าวจำเลยได้หักเป็นค่าภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 4 ของราคาแร่ดีบุกหักเป็นค่าภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 10 ของจำนวนค่าภาษีการค้ารวมเป็นเงินที่จำเลยหักค่าภาษีดังกล่าวจากราคาแร่ดีบุกที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลยไว้ในอัตราร้อยละ 4.4 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2513 มีประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า ลดค่าภาษีดังกล่าวลงร้อยละ 2แต่ในการรับซื้อแร่ดีบุกจำเลยยังคงหักเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลจากราคาแร่ดีบุกที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 4.4ตามเดิมซึ่งเกินกว่าประกาศกระทรวงการคลังฉบับดังกล่าวจำนวนเงินที่หักไว้เกินนี้เป็นส่วนหนึ่งของราคาแร่ดีบุกที่นำไปขายให้แก่จำเลย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินค่าภาษีส่วนที่หักไว้เกินให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ที่นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2513จนถึงวันฟ้องโจทก์ที่ 1 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย3,196,233,965.73 บาท โจทก์ที่ 2 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย 2,801,208,444.50 บาท โจทก์ที่ 3 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย 615,773,922.83 บาท โจทก์ที่ 4 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย 348,589,520.01 บาท โจทก์ที่ 5 นำแร่ดีบุกที่ผลิตได้จากเรือขุดลำ 2 และ ลำ 3 ไปขายให้แก่จำเลย 677,571,719.44 บาทและ 934,924,752.80 บาท โจทก์ที่ 6 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย512,739,479.04 บาท โจทก์ที่ 7 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย703,905,748.66 บาท โจทก์ที่ 8 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย381,065,151.71 บาท โจทก์ที่ 9 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย2,924,766,294.97 บาท โจทก์ที่ 10 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย244,994,763.57 บาท โจทก์ที่ 11 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย223,454,889.60 บาท โจทก์ที่ 12 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย1,180,101,299.15 บาท โจทก์ที่ 13 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย1,199,202,346.36 บาท โจทก์ที่ 14 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย1,058,462,239.94 บาท โจทก์ที่ 15 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย75,488,410.99 บาท โจทก์ที่ 19 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย298,899,746.71 บาท โจทก์ที่ 17 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย154,261,203.77 บาท โจทก์ที่ 18 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย17,286,548.98 บาท โจทก์ที่ 18 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย218,456,084.34 บาท โจทก์ที่ 20 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย291,177,396.63 บาท และโจทก์ที่ 21 นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย1,063,567.70 บาท จำเลยหักเงินจากราคาแร่ดีบุกไว้เป็นค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 4.4 ของราคาแร่ดีบุกทีโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดสำนวนนำไปขายให้แก่จำเลยเป็นเงิน140,634,294.44 บาท 123,233,527.93 บาท 27,094,052.55 บาท15,381,938.71 บาท 29,814,112.25 บาท และ 41,136,665.05 บาท22,560,290.34 บาท 30,971,896.08 บาท 16,766,856.23 บาท128,689,715.93 บาท 10,779,769.22 บาท9,831,134.58 บาท51,924,456.98 บาท 52,764,903.21 บาท 46,572,338.31 บาท3,321,487.92 บาท 13,095,708.71 บาท 6,787,492.91 บาท5,600,608.16 บาท 9,612,066.98 บาท 12,822,183.20 บาทและ 4,663,053.90 บาท ตามลำดับ ซึ่งจำเลยได้หักไว้เกินร้อยละ 2ของจำนวนเงินภาษีที่จำเลยนำไปชำระจริงเป็นเงิน 2,812,685.09 บาท2,464,664.04 บาท 541,881.20 บาท 307,638.81 บาท และ822,733.37 บาท 451,205.77 บาท 619,437.93 บาท 337,522.53 บาท2,573,793.30 บาท 215,595.08 บาท 196,622.09 บาท1,038,488.97 บาท 1,055,298.07 บาท 929,365.29 บาท66,429.80 บาท 261,914.41 บาท 135,749.87 บาท112,012.21 บาท 192,242.31 บาท 256,443.74 บาท และ93,261.09 บาท ตามลำดับ จำนวนเงินดังกล่าวที่จำเลยหักไว้เกินนี้จำเลยต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดสำนวน พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันหักเงินไว้เป็นต้นไปแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน4,478,406.50 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 2,812,685.09 บาท ชำระให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน3,722,944.96 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 2,464,664.04 บาท ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 3จำนวน 766,765.76 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 541,881.20 บาท ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 4 จำนวน388,341.79 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 307,638.81 บาท ชำระเงินให้แก่โจทก์ที่ 5 จำนวน2,469,839.56 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 1,419,015.55 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 6จำนวนเงิน 772,350.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 451,205.77 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 7 จำนวน1,026,873.83 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 619,437.93 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 8 จำนวน497,528.93 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 337,522.53 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 9 จำนวน3,393,074.51 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 2,573,793.30 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 10 จำนวน288,247.87 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 215,595.08 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 11 จำนวนเงิน268,768.98 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 196,622.09 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 11 จำนวนเงิน1,665,566.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 1,038,488.97 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 13 จำนวน1,459,277.64 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 1,055,298.07 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 14 จำนวน1,249,646.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 929,365.29 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 15 จำนวน98,888.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 66,429.80 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 16 จำนวน379,956.44 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 261,914.41 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 17 จำนวน171,866.47 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 135,749.87 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 18 จำนวน138,637.14 บาท พร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 112,012.21 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 19 จำนวน256,566.04 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 192,242.31 บาท ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 20 จำนวน356,526.22 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 256,443.74 บาท และให้ชำระเงินแก่โจทก์ที่ 21จำนวน 120,651.07 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 93,261.09 บาท โดยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ยี่สิบเอ็ดสำนวน
จำเลยให้การทั้งยี่สิบเอ็ดสำนวนว่า จำเลยเป็นบริษัทจำกัดประกอบกิจการรับซื้อแร่ดีบุกและนำไปถลุงเป็นโลหะดีบุกส่งออกนอกราชอาณาจักรสำหรับราคาแร่ดีบุกที่จำเลยรับซื้อจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่นั้นมีข้อกำหนดและเงื่อนไขราคาซื้อเบื้องต้น และวิธีการคำนวณหาราคาซื้อสุทธิตามข้อกำหนดและเงื่อนไขนั้นให้หักเงินบาทมีจำนวนค่าเท่ากับค่าภาษีทั้งมวล(ไม่รวมภาษีเงินได้และภาษีบำรุงท้องที่) และอากรทั้งมวลที่บริษัทผู้ถลุงหรือผู้ซื้อของตนต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการใด ๆ โดยเหตุเนื่องในการซื้อแร่ดีบุก การถลุงโลหะดีบุกจากแร่ดีบุกและการขายและการส่งออกนอกประเทศไทย ซึ่งโลหะดีบุกที่ผลิตได้จากแร่ดีบุกอันได้แก่ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 4.4 จำเลยรับว่าได้หักเงินค่าภาษีดังกล่าวไว้ร้อยละ 4.4 จริง แต่ไม่ได้หักไว้เพื่อชำระภาษีทั้งมวลแทนจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่เป็นวิธีในการคำนวณหาราคาซื้อแร่ดีบุกสุทธิอีกทั้งจำเลยไม่ได้ส่งแร่ดีบุกออกนอกราชอาณาจักรไทยจึงไม่ได้ชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 4.4 ของราคาแร่ดีบุกที่ซื้อขายภายในราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา 78 เอกาทศแห่งประมวลรัษฎากรซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 20 พ.ศ. 2513 จำเลยส่งแต่โลหะดีบุกออกนอกราชอาณาจักรเท่านั้น ซึ่งจำเลยก็ได้รับการลดภาษีร้อยละ 2 ตามมาตรา 78 เอกาทศ ดังกล่าวเมื่อจำเลยไม่ได้หักไว้เกินจึงไม่จำต้องคืนให้แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยตามฟ้อง และฟ้องโจทก์บางส่วนขาดอายุความและโจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบเรื่องดอกเบี้ยที่จะเรียกจากจำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน1,502,500.53 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,712,480.07 บาทโจทก์ที่ 3 จำนวน 427,501.71 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 293,737.51บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 706,054.55 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน20,687.83 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 374,886.99 บาท โจทก์ที่ 8จำนวน 257,111.61 บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 2,444,710.26 บาทโจทก์ที่ 10 จำนวน 206,109.19 บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน992,795.62 บาท โจทก์ที่ 13 จำนวน 1,007,716.06 บาทโจทก์ที่ 14 จำนวน 890,463.11 บาท โจทก์ที่ 15 จำนวน58,691.54 บาท โจทก์ที่ 16 จำนวน 249,654.30 บาท โจทก์ที่ 17จำนวน 229,136.72 บาท โจทก์ที่ 18 จำนวน 309,851.08 บาทโจทก์ที่ 19 จำนวน 183,782.70 บาท โจทก์ที่ 20 จำนวน244,058.08 บาท และโจทก์ที่ 21 จำนวน 89,054.48 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 12 และจำเลยอุทธรณ์ทุกสำนวน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 2,439,981.28 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน2,627,609.12 บาท โจทก์ที่ 3 จำนวน 585,236.57 บาทโจทก์ที่ 4 จำนวน 388,341.79 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน1,191,142.92 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน 377,893.69 บาทโจทก์ที่ 7 จำนวน 596,007.41 บาท โจทก์ที่ 8 จำนวน 376,413.06บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 3,371,331.39 บาท โจทก์ที่ 10 จำนวน288,247.87 บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน 262,091.97 บาทโจทก์ที่ 12 จำนวน 1,665,556.44 บาท โจทก์ที่ 17 จำนวน135,749.86 บาท และโจทก์ที่ 18 จำนวน 112,012.16 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,749,469.99บาท 1,876,382.87 บาท 447,177.54 บาท 307,638.81 บาท742,504.86 บาท 241,302.68 บาท 392,615.59 บาท273,876.10 บาท 2,557,227.27 บาท 215,595.08 บาท192,903.27 บาท 1,038,488.97 บาท 135,749.86 บาท และ 112,012.16 บาท ตามลำดับ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทุกสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2513 ถึงเดือนมกราคม 2529 โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดได้นำแร่ดีบุกไปขายให้แก่จำเลย โดยจำเลยได้หักเงินร้อยละ 4.4ของราคาซื้อแร่ดีบุกเบื้องต้น ซึ่งเท่ากับอัตราค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพื่อคำนวณหาราคาซื้อแร่ดีบุกสุทธิตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการรับซื้อแร่ดีบุกเอกสารหมาย จ.4ข้อ 6 (ค) แต่ได้มีประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า(ฉบับที่ 7) บังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2513 เป็นต้นมาทำให้ภาษีการค้าลดลงร้อยละ 2 ของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียคดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยต้องชำระเงินค่าแร่ดีบุกในส่วนที่ได้รับการลดภาษีดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์และฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการรับซื้อแร่ดีบุกเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 6 ได้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคาซื้อแร่ดีบุกสุทธิไว้ว่า (ก) ให้หักค่าถลุงจากราคาซื้อแร่ดีบุกเบื้องต้น (ข) หักค่ามลทินสกปรก (ค) หักออกเป็นเงินบาทมีจำนวนเท่ากับภาษีทั้งมวล (ไม่รวมภาษีเงินได้และภาษีบำรุงท้องที่)และอากรทั้งมวลที่บริษัทผู้ถลุงหรือผู้ต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการใด ๆ โดยเหตุเนื่องในการซื้อแร่ดีบุกในการถลุงโลหะดีบุกจากแร่ดีบุกและในการขายและการส่งออกนอกประเทศไทย ซึ่งโลหะดีบุกที่ผลิตได้จากแร่ดีบุก และ (ง)ราคาซื้อเบื้องต้นสำหรับแร่ดีบุกเมื่อหักรายการต่าง ๆที่คิดหักตามข้อ 6 (ก) (ข) และ (ค) แล้ว ก็เป็นราคาซื้อสุทธิดังนี้เห็นว่า ข้อกำหนดและเงื่อนไขที่จะนำเงินภาษีอากรมาหักเพื่อคำนวณราคาซื้อสุทธิตามข้อ 6 (ค) นั้นคือเงินที่ผู้ซื้อต้องเสียให้แก่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการเนื่องในการซื้อแร่ดีบุกซึ่งมิได้กำหนดไว้ตายตัวแน่นอน แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าคือจำนวนที่รัฐบาลไทยหรือหน่วยราชการเรียกเก็บอยู่ในขณะที่มีการซื้อขายกัน ฉะนั้นเงินภาษีที่จะนำมาหักได้จึงต้องเป็นเงินที่ผู้ซื้อจำเป็นต้องเสียตามจำนวนที่แท้จริง เมื่อมีประกาศกระทรวงการคลังลดค่าภาษีการค้าลงร้อยละ 2 ของค่าภาษีที่ต้องเสียจำนวนที่ลดลงนี้ผู้ซื้อจึงไม่ต้องชำระ จะนำมาหักออกจากราคาซื้อเบื้องต้นไม่ได้ ข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ชัดแจ้งอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องอาศัยข้อเท็จจริงหรือเจตนารมณ์ของคู่สัญญามาประกอบการตีความ จำเลยในฐานะผู้ซื้อจึงต้องรับผิดชำระเงินค่าแร่ดีบุกในส่วนที่ได้รับการลดภาษีร้อยละ 2 ของค่าภาษีการค้าคืนให้แก่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด ส่วนดอกเบี้ยนั้น เมื่อกรณีเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับการคำนวณหาราคาแร่ดีบุกสุทธิที่ซื้อขายกันอยู่ว่าตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาควรเป็นอย่างไร ก่อนฟ้องจำเลยย่อมไม่ทราบราคาที่ต้องคืนว่ามีจำนวนแน่นอนเป็นเท่าใดทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระเงินคืนตั้งแต่เมื่อใด อันจะถือได้ว่าจำเลยผิดนัด ต้องถือว่าโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนับแต่วันฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป สำหรับปัญหาเรื่องอายุความนั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยในฐานะผู้ซื้อปฎิบัติตามสัญญาซื้อขายแร่ดีบุกโดยให้ชำระเงินที่รับเกินไป ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม ฟ้องโจทก์ในส่วนที่ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าแร่ดีบุกก่อนฟ้องเป็นเวลา10 ปี นั้นชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน1,749,469.99 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 1,876,382.87 บาทโจทก์ที่ 3 จำนวน 447,177.54 บาท โจทก์ที่ 4 จำนวน 307,638.81 บาท โจทก์ที่ 5 จำนวน 742,504.86 บาท โจทก์ที่ 6 จำนวน 241,302.68 บาท โจทก์ที่ 7 จำนวน 392,615.59 บาท โจทก์ที่ 8 จำนวน 273,876.10 บาท โจทก์ที่ 9 จำนวน 2,557,227.27 บาท โจทก์ที่ 10 จำนวน 215,595.08 บาท โจทก์ที่ 11 จำนวน 192,903.27 บาท โจทก์ที่ 12 จำนวน 1,038,488.97 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share