คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8454/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน แม้จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ได้ขอให้ออกคำบังคับแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่ในการทำสัญญากู้เงิน จำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ได้และการบังคับชำระหนี้ไม่เป็นการยาก จำเลยที่ 2 ชอบที่จะขอให้ศาลเพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ได้ แม้โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้วไม่มีการขาย และหากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1ไม่พอชำระหนี้ โจทก์จะต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่มีเหตุที่จะมีคำสั่งเพียงให้งดการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้กู้ชำระเงิน525,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้บังคับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันชำระแทน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาทแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระโจทก์จึงขอให้บังคับคดี ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2542 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 13886 เนื้อที่ 9 ไร่เศษของจำเลยที่ 2 เพื่อนำออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์

จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า คำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ได้ระบุให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่โจทก์จะบังคับชำระหนี้ได้ โจทก์ควรบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน ขอให้ถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นนัดพร้อมและสอบถามคู่ความแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่โจทก์สามารถยึดมาบังคับคดีได้ การยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามลำดับแห่งคำพิพากษา เป็นการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เสีย โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายตามกฎหมายด้วย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เป็นการข้ามการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระแทน ซึ่งหมายความว่ากรณีที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ โจทก์จะต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เสียก่อน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินที่โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดมาขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์จึงจะดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ได้คดีนี้แม้จะปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์โจทก์ขอให้ออกคำบังคับแก่จำเลยทั้งสองแล้ว เมื่อครบกำหนดตามคำบังคับจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องของจำเลยที่ 2ว่า ในการทำสัญญากู้เงิน จำเลยที่ 1 ได้มอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2866 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นหลักประกัน นอกจากนี้โจทก์ยังแถลงรับตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 ว่า โจทก์คาดว่าที่ดินและทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่หากยึดมาขายทอดตลาดแล้วน่าจะไม่เพียงพอแก่การชำระหนี้ตามคำพิพากษา จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้และการที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยาก แต่โจทก์ไม่นำพาที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 กลับนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ก่อน จึงเป็นการข้ามการบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยที่ 2 ชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ได้ แม้ว่าโจทก์จะต้องเสียหายเพราะต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเนื่องจากยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้วไม่มีการขาย และหากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จะต้องบังคับชำระหนี้โดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อีกครั้งหนึ่ง ดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม ก็ไม่มีเหตุที่จะมีคำสั่งเพียงให้งดการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ไว้เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share