แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 เกิดกับภริยาคนก่อนซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสและเลิกร้างกันไปแล้วส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินให้บุตรเหล่านี้ทุกคนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ ที่ดินมีโฉนดอันเป็นสินสมรสที่จำเลยที่ 1 ยกให้จำเลยที่ 2 นั้นมีเนื้อที่เพียง 65 ตารางวาจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ผู้ให้เอง และได้สมรสแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากแล้ว และไม่ปรากฏว่าขณะที่ยกให้นั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิให้ได้ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 524/2506)
ที่ดินตาม น.ส.3 อีกแปลงหนึ่งเป็นที่ดินที่มารดายกให้จำเลยที่ 1 โดยระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนไว้ก็ไม่สำคัญเพราะขณะที่ยกให้นั้นยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่134/2513) จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกให้จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
จำเลยที่ 1 ยกที่ดินมีโฉนดอันเป็นสินสมรสแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 เองที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่เพียง 2 งานศษและเมื่อให้แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์ร่วมกันอีกมากถือได้ว่าเป็นการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1473(3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน ส่วนจำเลยที่1 ยังให้ที่ดินสินสมรสแก่จำเลยที่ 3 อีกแปลงหนึ่งแม้จะมีราคาเพียง 70,000 บาท แต่มีเนื้อที่ถึง 7 ไร่เศษและไม่จำเป็นต้องให้อีก เพราะได้ให้ไปแปลงหนึ่งแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมดี และอาจทำให้ฐานะของโจทก์ตกต่ำลงได้ จึงสมควรเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินแปลงนี้
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินสินสมรสแปลงหนึ่งให้จำเลยที่ 7 โดยที่ได้ยกให้ไปสองแปลงแล้ว ถือว่าไม่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีฯ จึงต้องเพิกถอนเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่สำนวน รวมจำเลยทั้งหมด 7 คน ศาลสั่งรวมการพิจารณาเข้าด้วยกัน โจทก์ฟ้องทั้งสี่สำนวนสรุปใจความได้ว่าโจทก์จำเลยที่ 1 เป็นสามีภรรยากัน มีบุตร 7 คน คือจำเลยที่ 3 ถึง 7 จำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดจากภรรยาคนก่อนซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสและทิ้งร้างกันไป เมื่อ 23 ปีมาแล้วบิดาจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ได้รับมรดกมากมาย จำเลยที่ 1 ได้ไปจดทะเบียนรับมรดกที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 93 ร่วมกับพี่น้องอีก6 คน แล้วโอนให้จำเลยที่ 2 ไปโดยเสน่หาและต่อมาได้โอนที่ดินโฉนดที่ 4319 ให้แก่จำเลยที่ 2 ไปโดยเสน่หาอีกพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้าง และได้ยกที่ดินโฉนดที่ 2239 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างกับที่ดินโฉนดที่ 1172 ให้แก่จำเลยที่ 3 โดยเสน่หา กับยกที่ดินโฉนดที่ 7743 ให้แก่จำเลยที่ 4, 5, 6 ไปโดยเสน่หา ยกที่ดินโฉนดที่ 4670 ให้แก่จำเลยที่ 5, 6 โดยเสน่หา และจำเลยที่ 1 ร่วมกับพี่น้องอีก 6 คนไปขอรับมรดกของบิดาคือที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 308 แม้บุคคลดังกล่าวได้ยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่จำเลยที่ 7 และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยกที่ดินโฉนดที่ 4005 พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างกับที่ดินโฉนดที่ 5009 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 7 ไปอีก ที่ดินทั้ง 9 แปลงนี้เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น จำเลยที่ 1 ได้โอนให้จำเลยที่ 2 ถึง 7 ไปโดยวิธีลักลอบ ไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ จึงขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให้ดังกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แปลงละครึ่ง ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์
จำเลยทุกคนให้การสรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 มีบุตรกับโจทก์ตามฟ้องและได้ยกที่ดินต่าง ๆ ให้บุตรคือจำเลยตามฟ้องจริง แต่ที่ดินโฉนดที่ 4319 พร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้นเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ได้ขายสินส่วนตัวแล้วนำเงินไปซื้อมา ที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 93 เป็นสินส่วนตัว ที่ดินโฉนดที่ 2239 นำเงินมรดกไปรับจำนอง และผู้จำนองโอนตีชำระหนี้ให้ ที่ดินโฉนดที่ 1172 จำเลยที่ 1 นำเงินสินส่วนตัวไปซื้อ ที่ดินโฉนดที่ 7743 พร้อมสิ่งปลูกสร้างก็เป็นสินส่วนตัวได้มาก่อนสมรส ที่ดินโฉนดที่ 4670 เป็นสินส่วนตัว ได้รับยกให้จากบิดามารดา ที่ดินโฉนดที่ 4005 และ 5009 นำเงินกองมรดกที่เป็นสินส่วนตัวไปซื้อมา และที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 308 นั้น จำเลยที่ 1 ก็ได้รับมรดกมาเป็นสินส่วนตัว จึงมีสิทธิทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินทุกแปลงโดยไม่ต้องบอกให้โจทก์ทราบ และเป็นการยกให้ทางหน้าที่ศีลธรรมในฐานะบิดากับบุตร ทั้งโจทก์จะฟ้องขอแบ่งสินสมรสโดยมิได้ฟ้องหย่าก่อนไม่ได้ นอกจากนี้โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 1 แล้วว่าจะไม่เรียกร้องทรัพย์สินใด ๆ จากจำเลยที่ 1 อีก คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว และโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 1 สามี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินโฉนดที่ 4319 พร้อมเรือน 1 หลังให้จำเลยที่ 2 โดยเสน่หาเสียครึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1, 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 เกิดกับภริยาคนก่อนซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสและเลิกร้างกันไปแล้ว ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นบุตรของโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมยกที่ดินให้บุตรเหล่านี้ทุกคนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์เป็นหนังสือ ที่ดินโฉนดที่ 4319 อันเป็นสินสมรสที่จำเลยที่ 1 ยกให้จำเลยที่ 2 นั้นมีเนื้อที่เพียง 65 ตารางวา จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ผู้ให้เองและได้สมรสแยกครอบครัวไปอยู่ต่างหากแล้ว และไม่ปรากฏว่าขณะที่ยกให้นั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีหลักทรัพย์อันมีค่าอย่างอื่นอีก ถือได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิให้ได้ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 524/2506) ส่วนที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 93 นั้นเป็นที่ดินที่มารดายกให้จำเลยที่ 1 โดยระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัว แม้จะไม่ได้จดทะเบียนไว้ก็ไม่สำคัญ เพราะขณะที่ยกให้นั้นยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญ (อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 134/2513) จำเลยที่ 1 มีสิทธิยกให้จำเลยที่ 2 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์
ที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินอันเป็นสินสมรสโฉนดที่ 2239 ให้แก่จำเลยที่ 3นั้น เห็นว่ามีเนื้อที่เพียง 2 งานเศษ จำเลยผู้รับให้เป็นบุตรของโจทก์และจำเลยผู้ให้เอง และเมื่อให้แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็ยังมีทรัพย์ร่วมกันอีกมาก ถือได้ว่าเป็นการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอน แต่สำหรับที่ดินสินสมรสโฉนดเลขที่ 1172 นั้นปรากฏว่ามีเนื้อที่ถึง 7 ไร่เศษ แม้จะมีราคาเพียง 70,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้อีก เพราะจำเลยที่ 3 ได้ที่ดินโฉนดที่ 2239 ไปแปลงหนึ่งแล้ว ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม และอาจทำให้ฐานะของโจทก์ตกต่ำลงได้ จึงสมควรเพิกถอนนิติกรรมการยกให้ที่ดินแปลงนี้ดังโจทก์ฟ้อง ส่วนที่ดินสินสมรสโฉนดที่ 5009 ที่จำเลยที่ 1 ยกให้แก่จำเลยที่ 7 นั้นเห็นว่าเป็นการให้โดยไม่จำเป็นต้องให้แต่อย่างใด เพราะจำเลยที่ 1 ได้ให้ที่ดินโฉนดที่ 4005 กับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 308 ไปแล้วจึงต้องถือว่าการให้นี้ไม่เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกระทำได้โดยลำพังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) ต้องเพิกถอนการให้รายนี้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ให้กับจำเลยที่ 3 ผู้รับให้ในที่ดินโฉนดที่ 1172 กับให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ให้กับจำเลยที่ 7 ผู้รับให้ในที่ดินโฉนดที่ 5009 ให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวกลับคืนสู่สภาพเดิมคำขอของโจทก์อื่น ๆ นอกจากนี้ให้ยกเสีย