แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การหักกลบลบหนี้นั้น แม้จำเลยจะแสดงเจตนาไปฝ่ายเดียวก็เป็นอันหักกลบลบหนี้กันได้
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ กำหนดชำระภายในวันที่ 1 เมษายน 2497 และโจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความจำเลยอยู่สองคดี คดีแรกคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2501 คดีที่สองคดีถึงที่สุดใน พ.ศ.2504 ดังนี้ จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่อาจหักกลบลบหนี้ได้แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2505 ซึ่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ค่าจ้างว่าความของจำเลยขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่สิทธิในการหักกลบลบหนี้ของจำเลยย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 และการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวก็มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้เป็นครั้งแรก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 วรรค 2 กล่าวคือ หนี้ค่าจ้างว่าความคดีแรกย้อนไปถึง พ.ศ.2501 หนี้ค่าจ้างว่าความคดีที่สอง ย้อนไปถึง พ.ศ.2504 ซึ่งสิทธิเรียกร้องของจำเลยยังไม่ขาด จึงหักกลบลบกันกับหนี้เงินกู้ของโจทก์หมดสิ้นแล้ว ไม่มีหนี้ที่โจทก์จะนำมาฟ้องได้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 3,000 บาท คิดดอกเบี้ยให้ชั่งละ 1 บาทต่อเดือน กำหนดชำระต้นเงินคืนภายในวันที่ 1 เมษายน 2497 ตั้งแต่กู้ไปจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เลย โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทำสัญญากู้เงิน 3,000 บาท ให้โจทก์จริง โจทก์เป็นลูกความประจำของจำเลย จำเลยว่าความให้โจทก์รวม 19 สำนวน ค่าจ้างที่ตกลงกันทั้งหมด 31,000 บาท โจทก์ยังไม่ได้ชำระค่าจ้างว่าความ 12,000 บาท และค่าพาหนะเดินทาง ค่าอาหารในการที่จำเลยไปว่าความต่างจังหวัดอีก 1,000 บาท จำเลยได้ทวงถามแล้วและได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าเงินที่จำเลยเอามาจากโจทก์เท่าใดให้หักกลบลบหนี้กันเสีย ต่อมาจำเลยได้มีหนังสือลงวันที่ 22 กันยายน 2505 แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้เงินกู้ 3,000 บาทนั้นอีกส่วนที่เหลือให้โจทก์ชำระให้จำเลยภายใน 10 วัน หนี้ดังกล่าวจึงหลุดพ้นไปหมดสิ้นแล้ว ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระค่าจ้างว่าความ 12,000 บาท กับค่าพาหนะเดินทางและค่าอาหารรวม 1,000 บาทแก่จำเลย
เดิมศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งและงดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาโดยศาลฎีกาพิพากษากลับให้รับฟ้องแย้งไว้พิจารณาและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์ยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ชำระค่าจ้างว่าความกับค่าพาหนะเดินทางและค่าอาหารให้จำเลยเสร็จไปแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิจะเรียกร้องและนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์ คดีของจำเลยขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ชำระค่าจ้างว่าความให้จำเลยเสร็จสิ้นไปแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 5,625 บาทให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 3,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ยังเป็นหนี้ค่าจ้างว่าความ ค่าพาหนะเดินทางและค่าอาหารตามฟ้องแย้ง จำเลยได้แสดงเจตนาหักกลบลบหนี้กับโจทก์หมดสิ้นแล้ว แต่หนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความแล้ว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นให้ยกฟ้องโจทก์ด้วย คำขอตามฟ้องแย้งนอกจากที่จำเลยขอหักกลบลบหนี้จำนวน 3,000 บาทและดอกเบี้ยให้ยกเสีย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าจ้างว่าความกับค่าอาหารและค่าพาหนะเดินทางจำเลยจริง และเห็นว่าการหักกลบลบหนี้แม้จำเลยจะแสดงเจตนาไปฝ่ายเดียว ก็เป็นอันหักกลบลบหนี้กันได้
ข้อที่โจทก์ฎีกาว่าสิทธิเรียกร้องของจำเลยขาดอายุความแล้วจะนำมาหักกลบลบหนี้กันไม่ได้นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยได้ว่าความให้โจทก์รวม 19 คดี ตามบัญชีท้ายคำให้การของจำเลย กำหนดการชำระค่าจ้างว่าความกันนี้ น่าเชื่อตามข้อนำสืบของจำเลยว่าโจทก์จะชำระกันเมื่อคดีนั้นได้ระงับข้อพิพาท ตามยอดบัญชีนี้คงมีคดีอันดับ 11 และ 15 เท่านั้นที่ถือได้ว่าสิ้นสุดยุติเป็นที่แน่นอนแล้วใน พ.ศ. 2501 และ 2504 อันอยู่ในฐานะที่จำเลยจะใช้หักกลบลบหนี้ได้รวม 5,500 บาท แม้จำเลยจะได้แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2505 ตามเอกสาร ล.19 ซึ่งสิทธิเรียกร้องชำระหนี้ค่าจ้างว่าความของจำเลยขาดอายุความแล้วก็ตามแต่สิทธิในการหักกลบลบหนี้ของจำเลยย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 และการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวก็มีผลย้อนหลังขึ้นไปจนถึงเวลาซึ่งหนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นจะอาจหักกลบลบกันได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 342 วรรค 2 คือ ในกรณีหนี้ค่าจ้างว่าความอันดับที่ 11 ย้อนไปถึง พ.ศ. 2501 คดีอันดับที่ 15 ย้อนไปถึง พ.ศ. 2504 ซึ่งสิทธิเรียกร้องหักกลบลบหนี้ของจำเลยยังไม่ขาด จึงหักกลบลบกันได้กับหนี้เงินกู้ของโจทก์หมดสิ้นแล้ว ไม่มีหนี้ที่โจทก์จะนำมาฟ้องอีก
พิพากษายืน