คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8411/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเพิ่งออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2539เหตุนี้การครอบครองปรปักษ์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป แม้จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2522 อันเป็นเวลาก่อนที่ที่ดินพิพาทออกโฉนดที่ดิน ก็ไม่อาจนับระยะเวลาที่ครอบครองนั้นรวมเข้ากับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ได้ เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญซึ่งเรียกว่าที่ดินมือเปล่านั้นไม่อาจเกิดมีขึ้นได้เลย ไม่ว่าจำเลยครอบครองช้านานเพียงใด จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ทั้งจำเลยไม่อาจหวนกลับไปอ้างว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้อีก เพราะนอกจากเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างแล้วบัดนี้ที่ดินพิพาทกลายเป็นที่ดินมีโฉนด ซึ่งผู้ใดประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ต้องกระทำโดยวิธีครอบครองปรปักษ์เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสี่อีกต่อไป

จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 195 ตำบลเขาดิน (ปัจจุบันตำบลยางนอน) อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ตามพื้นที่ส่วนแรเงาในเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 ให้โจทก์ทั้งสี่ร่วมกับจำเลยไปยื่นคำขอจดทะเบียนเพื่อรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 16107 ให้จำเลยมีกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วน 100 ตารางวา หากโจทก์ทั้งสี่เพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 ถึงแก่กรรม นางสมทรง มะนาวหวานทายาทของโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 16107 ตำบลยางนอน อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ของโจทก์ทั้งสี่และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) มีชื่อนายสำเนียงมะนาวหวาน ซึ่งเป็นสามีโจทก์ที่ 1 และเป็นบิดาโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2539 ได้มีการออกโฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อนายสำเนียงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทเนื้อที่86 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2522 คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่าการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382หมายถึงการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่นโดยการครอบครอง ดังนั้นในเบื้องต้นทรัพย์สินของผู้อื่นที่จะครอบครองปรปักษ์นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินที่เจ้าของมีกรรมสิทธิ์ หากเจ้าของมีเพียงสิทธิครอบครองจะใช้หลักการครอบครองปรปักษ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวมาบังคับเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์มิได้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีนี้ ที่ดินพิพาทเพิ่งออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 4มิถุนายน 2539 เหตุนี้การครอบครองปรปักษ์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเป็นต้นไป แม้จำเลยได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2522 อันเป็นเวลาก่อนที่ที่ดินพิพาทออกโฉนดที่ดิน ก็ไม่อาจนับระยะเวลาที่ครอบครองนั้นรวมเข้ากับระยะเวลาครอบครองปรปักษ์ได้เนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญซึ่งเรียกว่าที่ดินมือเปล่านั้นไม่อาจเกิดมีขึ้นได้เลย ไม่ว่าจำเลยครอบครองช้านานเพียงใดจำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ทั้งจำเลยไม่อาจหวนกลับไปอ้างว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทได้อีก เพราะนอกจากเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลล่างแล้ว บัดนี้ที่ดินพิพาทกลายเป็นที่ดินมีโฉนด ซึ่งผู้ใดประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ต้องกระทำโดยวิธีครอบครองปรปักษ์เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีทางที่จะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share