คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่ ม. ผู้ตายจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์สามี ม. ผู้ตายไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครได้ รับข่าวคราวประการใด เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี กรณีต้อง ด้วยข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องได้ รับความยินยอมของโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1598/25 ดังนี้การจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมจึงชอบด้วย กฎหมาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นสามีของนางมาลี ฐิตะฐาน โจทก์ที่ 2 เป็นพี่สาวร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนางมาลี และมีพี่น้องอีก 4 คน นางมาลีถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรม มีทรัพย์มรดกหลายรายการ ซึ่งจะต้องตกแก่โจทก์ และทายาทดังกล่าว ระหว่างที่ผู้ตายมีชีวิตได้จดทะเบียนรับจำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 1 จำเลยจึงไม่ใช่ทายาทไม่มีสิทธิรับมรดกขอบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือกองมรดกผู้ตาย
จำเลยให้การว่า…แม้โจทก์ที่ 1 กับผู้ตายจะเคยเป็นสามีภรรยากัน โจทก์ก็ออกไปจากบ้านอันเป็นภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่แล้วไม่กลับมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วโจทก์ขาดจากความเป็นสามีของผู้ตาย จำเลยรับโอนทรัพย์มรดกมาโดยชอบ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกคืน…
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนแก่กองมรดกของผู้ตาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ขณะที่ผู้ตายจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายได้ไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครได้รับข่าวคราวประการใดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี อันเป็นข้อยกเว้นไม่ต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1598/25 หรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวนี้โจทก์ทั้งสองนำสืบว่าเดิมโจทก์ที่ 1 กับผู้ตายอยู่ที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมา พ.ศ. 2508 ผู้ตายได้ย้ายไปอยู่จังหวัดปัตตานีโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ติดตามคงอยู่ที่เดิม แล้วต่อมาโจทก์ที่ 1ย้ายไปอยู่กรุงเทพมหานคร ผู้ตายอยู่จังหวัดปัตตานีจนถึง พ.ศ. 2511ก็ย้ายไปอยู่จังหวัดยะลา โจทก์ที่ 1 ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้ตายเลยฝ่ายจำเลยนำสืบว่า ผู้ตายกับนายสุทัศน์ได้อยู่กินฉันสามีภรรยาตั้งแต่ พ.ศ. 2511 ตลอดมาที่จังหวัดยะลา ผู้ตายรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่จำเลยอายุได้ 2 เดือน จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม2525 จึงจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม ตามเอกสารหมาย ล.2ซึ่งมีนายสุทัศน์ลงชื่อให้ความยินยอมในฐานสามีผู้ตาย เห็นว่าข้อนำสืบของโจทก์เจือสมข้อนำสืบของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า ผู้ตายไปอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายสุทัศน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2511 โดยโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้ตายต่อไป และได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครโดยมิได้แจ้งให้ผู้ตายทราบ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 1อีกว่า ตอนผู้ตายป่วยและแม้งานศพผู้ตายโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ทราบมาทราบจากญาติผู้ตายแจ้งให้ทราบเมื่อ พ.ศ. 2526 ทั้งที่ผู้ตายถึงแก่กรรมในวันที่ 3 กันยายน 2525 แสดงว่าโจทก์ที่ 1 กับผู้ตายไม่ได้มีการติดต่อกันเลย นายกวี อักษรสุวรรณ น้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าโจทก์ที่ 1 จะอยู่ที่ใดพยานไม่ทราบ และบรรดาญาติพี่น้องก็ไม่มีผู้ใดบอกว่าโจทก์ที่ 1 อยู่ที่ใด แสดงว่าโจทก์ที่ 1 มิได้มีการติดต่อกับญาติผู้ตายเลย โจทก์ที่ 1 เองก็ไม่นำสืบให้เห็นว่าผู้ตายทราบที่อยู่ของโจทก์ที่ 1 เป็นอย่างดี ข้อเท็จจริงจึงมีเหตุผลให้รับฟังได้ว่า วันที่ 1 กรกฎาคม 2525 ที่มีการจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรม โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายได้ไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครได้รับข่าวคราวประการใดเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี กรณีต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องได้รับความยินยอมของคู่สมรสตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว การจดทะเบียนรับจำเลยเป็นบุตรบุญธรรมจึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืน…”
พิพากษายืน.

Share