คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้รายงานประเมินราคาที่จำเลยปลอมขึ้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร ก. แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยนำรายงานประเมินราคาปลอมไปใช้อ้างแสดงต่อ ธ. โดยจำเลยไม่ได้นำไปใช้ยื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร ก. ตามที่โจทก์ฟ้องแต่อย่างใด จึงเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอมได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 264, 268 และริบรายงานประเมินราคาทรัพย์สินของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบรายงานประเมินราคาทรัพย์สินของกลาง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้รับรองอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง ให้จำคุก 6 เดือน ริบรายงานประเมินราคาทรัพย์สินของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า นายไพฑูรย์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 48996 ตำบลวังทองหลาง (ลาดพร้าวฝั่งเหนือ) อำเภอวังทองหลาง (บางกะปิ) จังหวัดพระนคร พร้อมทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น นายไพฑูรย์ต้องการขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์จึงให้นางวลัยพรรณเป็นนายหน้าขายให้ ต่อมาจำเลยตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์กับนางวลัยพรรณในราคา 2,100,000 บาท หลังจากนั้นจำเลยขอต่ออายุสัญญาและวางมัดจำให้ไว้แก่นางวลัยพรรณหลายครั้ง รวมเป็นเงินที่วางมัดจำไว้ทั้งสิ้น 100,000 บาท ต่อมานายธนิษฐ์นันท์มีความประสงค์จะซื้อบ้าน จำเลยจึงเสนอขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์แก่นายธนิษฐ์นันท์ บริษัทบีซีเอ. ประเมินราคา จำกัด ผู้เสียหาย ได้รับว่าจ้างให้เป็นผู้ประเมินราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์เพื่อนำไปใช้ในการขอกู้ยืมเงินจากธนาคาร ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2548 ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา ส่งเอกสารประเมินราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ดังกล่าวซึ่งมีชื่อผู้เสียหายเป็นผู้ประเมินราคาและส่งไปยังธนาคารเพื่อขอกู้ยืมเงินมาให้ผู้เสียหายตรวจสอบอีกครั้งว่ามีการปลอมแปลงหรือไม่ ผู้เสียหายทำการตรวจสอบรายงานประเมินราคาเปรียบเทียบกับสำเนาเอกสารสรุปการประเมินราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ที่ผู้เสียหายเก็บรักษาไว้ มีชื่อนายธนิษฐ์นันท์เป็นลูกค้า ประเมินวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 พบว่ามีการแก้ไขปลอมแปลงหลายแห่งโดยเฉพาะในส่วนลายมือชื่อนายปิยพัทธ์ผู้ประเมินราคาหลัก และราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีการแก้ไขจากเดิม 2,500,000 บาท เป็น 3,260,000 บาท ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุมีการปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายหลายรายการตามฟ้อง ไม่มีคู่ความอุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ว่ารายงานการประเมินราคามิใช่เอกสารปลอม ศาลอุทธรณ์จึงฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุมีคนร้ายปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายตามฟ้อง ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติดังกล่าวไม่ถูกต้องนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ทั้งจำเลยมิได้ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าการที่จำเลยไม่อุทธรณ์ไม่ได้หมายความว่าจำเลยยอมรับหรือเห็นชอบด้วยเท่านั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า มีคนร้ายปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามพยานแวดล้อมกรณีฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ยื่นเรื่องขอประเมินราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์และรับรายงานประเมินดังกล่าวไปจากผู้เสียหาย ซึ่งขณะที่รับไปนั้นยังไม่มีการแก้ไขราคาประเมินที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์จากราคา 2,500,000 บาท เป็น 3,260,000 บาท หลังจากนั้นเอกสารดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของจำเลยตลอดมาจนกระทั่งจำเลยมอบรายงานประเมินราคาซึ่งเป็นเอกสารปลอมให้นายธนิษฐ์นันท์นำไปยื่นเรื่องขอกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา เมื่อนายธนิษฐ์นันท์มิใช่ผู้ปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายแล้ว ก็ไม่อาจมีบุคคลอื่นที่จะปลอมเอกสารดังกล่าวได้นอกจากจำเลยหรือมิฉะนั้นจำเลยย่อมต้องมีส่วนร่วมในการปลอมเอกสารดังกล่าวในฐานที่เป็นตัวการ ประกอบกับจำเลยทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านและที่ดิน ทั้งการจะซื้อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ก็เพื่อนำไปขายต่อให้แก่บุคคลอื่น จึงมีมูลเหตุจูงใจที่จำเลยจะทำปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายขึ้นเพื่อขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์แก่ลูกค้าของจำเลยได้ในราคาสูงกว่าราคาประเมินจริง หรือเพื่อให้ธนาคารอนุมัติเงินกู้แก่ลูกค้าที่จะซื้อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์จากจำเลยในราคาที่สูงกว่าราคาประเมินจริงจะได้นำเงินที่ธนาคารอนุมัติมาชำระหนี้แก่จำเลย ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่า เจ้าพนักงานตำรวจไม่ดำเนินคดีแก่บุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายงานประเมินราคาของผู้เสียหายด้วยนั้น ก็เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะพิจารณาจากพยานหลักฐานในชั้นสอบสวนซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของจำเลยหรือเป็นเหตุให้ศาลไม่สามารถลงโทษจำเลยในความผิดตามฟ้องได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้ปลอมรายงานประเมินราคาของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสาร สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารปลอมนั้น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้รายงานประเมินราคาที่จำเลยปลอมขึ้นยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากนายธนิษฐ์นันท์ว่า จำเลยจะเป็นผู้ยื่นเรื่องขอกู้ยืมเงินจากธนาคาร นายธนิษฐ์นันท์มอบเอกสารที่ใช้ในการกู้ยืมเงินให้แก่จำเลย แต่ไม่มีความคืบหน้า นายธนิษฐ์นันท์ติดต่อจำเลยสอบถามถึงเรื่องการกู้ยืมเงิน จำเลยบอกนายธนิษฐ์นันท์ว่าจะนำเอกสารจากจำเลยไปยื่นขอกู้ยืมเงินจากธนาคารเองก็ได้ แล้วจำเลยมอบรายงานการประเมินให้แก่นายธนิษฐ์นันท์ แสดงว่าจำเลยยังไม่ได้นำรายงานประเมินราคาที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวไปใช้ยื่นแสดงต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธยา ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยนำรายงานประเมินราคาปลอมไปใช้อ้างแสดงต่อนายธนิษฐ์นันท์ก็ตาม แต่เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยในความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก คงให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสาร จำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share