คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8402/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 (2) ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งเนื่องจากจำเลยได้กระทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายและเดือดร้อนระหว่างการพิจารณาคดี คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิด อ้างว่าจำเลยทั้งสองใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายและเดือดร้อนเกินสมควร เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ที่สาธารณะเพื่อเป็นทางเชื่อมออกสู่ถนนสายอยุธยา-วังน้อยได้ตามที่โจทก์ทั้งสองได้รับอนุญาตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 ดังนั้น ตราบใดที่ไม้เสาเข็มที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกเป็นเพิงพักบนที่ดินพิพาทยังคงมีอยู่ ย่อมถือได้ว่ายังมีการกระทำซ้ำ หรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้อง จึงรับฟังได้ว่าคำฟ้องมีมูลและมีเหตุผลเพียงพอที่โจทก์ทั้งสองจะขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยทั้งสองละเมิดปลูกสิ่งปลูกสร้างปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากบริเวณหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางด้านทิศเหนือ โฉนดเลขที่ 11840 ตำบลคานหาม อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่สาธารณะคลองชลประทาน และติดถนนสายอยุธยา-วังน้อย พร้อมให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยขอให้คุ้มครองชั่วคราวโดยให้จำเลยทั้งสองและบริวารเปิดทางเข้าออก และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างให้พ้นแนวเขตที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ตรงจุดพิพาทมีความกว้าง 6 เมตร ไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด โดยให้โจทก์ทั้งสองวางเงินประกันค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพเดิมหากจำเลยทั้งสองชนะคดีในชั้นที่สุด เป็นจำนวนเงินและภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่ามีเหตุตามกฎหมายที่จะสั่งใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้โดยโจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11840 ตำบลคานหาม อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 13789 ตำบลคานหาม อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารรื้อถอนรั้วและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากบริเวณที่ดินซึ่งอยู่ระหว่างที่ดินของโจทก์ทั้งสองทางทิศเหนือกับทางสาธารณะ คลองชลประทาน และถนนสายอยุธยา – วังน้อย ที่จำเลยทั้งสองได้สร้างสิ่งปลูกสร้างปิดทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสองดังกล่าว เห็นว่า ตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองและบริวารเปิดทางเข้าออกและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากแนวเขตที่ดินพิพาทเป็นการขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2) ที่บัญญัติว่า “ในคดีอื่นๆ นอกจากคดีมโนสาเร่ โจทก์ชอบที่จะยื่นต่อศาลพร้อมกับคำฟ้อง หรือในเวลาใดๆ ก่อนพิพากษา ซึ่งคำขอฝ่ายเดียว… เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองใดๆ ดังต่อไปนี้…(2) ให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำซ้ำหรือกระทำต่อไป ซึ่งการละเมิดหรือการผิดสัญญาหรือการกระทำที่ถูกฟ้องร้อง หรือมีคำสั่งอื่นใดในอันที่จะบรรเทาความเดือดร้อน เสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทำของจำเลย…หรือมีคำสั่งให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลายซึ่งทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น” เห็นได้ว่า การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษาตามมาตรา 254 (2) ต้องเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองโจทก์ทั้งสอง เนื่องจากจำเลยทั้งสองได้กระทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายและเดือดร้อนระหว่างการพิจารณาคดี คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งสองกล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิด โดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยทั้งสองใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายและเดือดร้อนเกินสมควร เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ที่สาธารณะนั้นเพื่อเป็นทางเชื่อมออกสู่ถนนสายอยุธยา – วังน้อย ได้ตามที่โจทก์ทั้งสองได้รับอนุญาตแล้ว ทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1337 ดังนั้น ตราบใดที่ไม้เสาเข็มที่จำเลยทั้งสองนำมาปลูกเป็นเพิงพักบนที่ดินพิพาทยังคงมีอยู่ย่อมถือได้ว่ายังมีการกระทำซ้ำ หรือกระทำต่อไปซึ่งการละเมิดตามที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องร้องนั้น จึงรับฟังว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองมีมูลและมีเหตุผลเพียงพอที่โจทก์ทั้งสองจะร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 (2) ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

Share