แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทบันยายฟ้องขอไห้ลงโทสจำเลยถานปล้นทรัพย์ และขอไห้เพิ่มโทสจำเลย คำขอท้ายฟ้องไม่ได้อ้างบทมาตราที่ขอไห้เพิ่มโทสสาลก็ย่อมเพิ่มโทสจำเลยได้แล้วแต่กรนีจะต้องด้วยมาตราได
ม. 72 ถึง 76 ก.ม. อาญาเปนเรื่องเพิ่มโทสผู้กะทำผิด หาไช่เปนมาตราไนกดหมายซึ่งบัญญัติว่าการกะทำหย่างไดเปนความผิดดังที่บังคับไน ป.ม.วิธีพิจารนาความอาญา มาตรา 158 ไม่.
ย่อยาว
ฟ้องโจทกล่าวว่า จำเลยได้สมคบกันทำการปล้นทรัพย์ของนายช้วน ดีเมืองไปรวมราคา ๑๓๔๐ บาท ๕๐ สตางค์ ก่อนคดีนี้นายเชือนจำเลยเคยต้องโทสจำคุก ๕ ปีถานปล้นทรัพย์มาแล้ว พ้นโทสมายังไม่เกิน ๓ ปี มากะทำผิดไนคดีนี้อีก ขอไห้สาลเพิ่มโทสจำเลยถานไม่เข็ดหลาบด้วย แต่คำขอท้ายฟ้องโจทอ้างแต่บทมาตรา ๓๐๑ กดหมายลักสนะอาญา และมาตรา ๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกดหมายลักสนะอาญา ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔)
จำเลยไห้การปติเสธ แต่นายเชือนรับว่าเคยต้องโทสจิง
สาลชั้นต้นพิจารนาแล้ว พิพากสาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา ๒๙๙ กดหมายลักสนะอาญา จำคุกจำเลยคนละ ๕ ปี เพิ่มโทสนายเชือน ตามมาตรา ๗๓ อีกกึ่งหนึ่ง คงจำคุกนายเชือน ๗ ปี
จำเลยทั้งสองอุธรน์ สาลอุธรน์พิพากสาแก้ฉเพาะไม่เพิ่มโทสนายเชือนจำเลย
โจทดีกา สาลดีกาพร้อมกันประชุมปรึกสาเห็นว่า มาตรา ๑๕๘(๖) ประมวนกดหมายวิธีพิจารนาความอาญาบังคับไว้แต่ว่าฟ้องต้อง “อ้างมาตราไนกดหมายซึ่งบัญญัติว่าการกะทำเช่นนั้นเปนความผิด” มาตรา ๗๒ ถึง ๗๖ ไนกดหมายลักสนะอาญาหาไช่เปนมาตราไนกดหมายซึ่งบัญญัติว่าการกะทำหย่างไดเปนความผิดไม่ หากเปนเรื่องไห้ลงอาญาผู้กะทำผิดซ้ำไห้หนักขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นฟ้องโจทจึงไม่เปนฟ้องที่ผิดต่อบทบังคับของมาตรา ๑๕๘ ประมวนวิธีพิจารนาความอาญา ทั้งไนมาตรา ๑๕๙ แห่งประมวนวิธีพิจารนาความอาญาก็บังคับไว้แต่เพียงว่า “ถ้าจำเลยเคยต้องคำพิพากสาไห้ลงโทสเพราะได้กะทำความผิดมาแล้วเมื่อโจทต้องการไห้เพิ่มโทสจำเลยถานไม่เข็ดหลาบได้กล่าวมาไนฟ้อง” ซึ่งไนเรื่องนี้โจทได้กล่าวมาไนฟ้องและ + ความประสงค์โดยมีคำขอไห้สาลเพิ่มโทส+ถานไม่เข็ดหลาบไว้ไนฟ้องนั้นแล้ว จึงเพิ่ม+จำเลยได้ พิพากสาแก้ไห้ลงโทสจำเลยตามพิพากสาสาลชั้นต้น