แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายกับปู่แม่และน้าสาวนั่งดูเขาเล่นตรุษกันที่ปากตรอกบ้านจำเลยกับพวกเข้ามาที่ตัวผู้เสียหาย จำเลยคว้าแขนผู้เสียหายซึ่งนั่งอยู่ดึงลากไปเลยถูกไถลากไปกับพื้นดิน พวกจำเลยเข้ากั้นไม่ให้แม่และน้าสาวช่วยแม่ผู้เสียหายเข้ากอดตัวผู้เสียหายไว้และต่างร้องเอะอะกันขึ้น จำเลยปล่อยผู้เสียหายแล้วยังกลับมาลากอีก แม่ผู้เสียหายก็เข้ากอดไว้จนผู้เสียหายหลุดจากมือจำเลยจำเลยฉุดผู้เสียหายไถดินไปสัก 2 วา แล้วผู้เสียหายกับพวกก็พากันหนีไปเข้าบ้านการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉุดคร่าสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพียงฐานพยายาม (อ้างฎีกาที่ 982/2482 จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไป 1 วา ผู้เสียหายสบัดหลุดไปเกาะเอวนางเพียร เป็นเรื่องฉุดคร่าสำเร็จแล้วไม่ใช่พยายาม)
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ศาลอุทธรณ์แก้เป็นจำคุก 3 เดือน และไม่รอการลงโทษเช่นนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์ก็ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกับพวกฉุดคร่านางสาวมณี เกิดปัญญาไปเพื่อการอนาจาร จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกายให้จำคุก 10 วัน ปรับ 50 บาท โทษจำคุกให้ยก พ้นโทษไปไม่เกิน 5 ปีขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276, 72
ชั้นแรกจำเลยทั้งสองปฏิเสธ แต่เมื่อสืบนางสาวมณีผู้เสียหายแล้วจำเลยทั้งสองรับสารภาพตามฟ้อง คู่ความไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นผิดเพียงฐานพยายามฉุดคร่า ไม่ใช่ความผิดสำเร็จ พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276, 60 เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 อีก 1 ใน 3 ตามมาตรา 72 จำเลยทั้งสองรับลดกึ่งตาม ม. 59 คงให้จำคุกจำเลยที่ 14 เดือน จำเลยที่ 2 3 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ตาม มาตรา 41, 42 ที่แก้ไข
โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จ ไม่ใช่เพียงฐานพยายามและไม่ควรรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ที่จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายไปห่างที่เกิดเหตุ2 วานั้น เห็นชัดว่าจำเลยตั้งใจกระทำโดยบังอาจ และผู้เสียหายเคลื่อนจากความเป็นอิสระแล้ว ถ้ามารดาผู้เสียหายกับพวกไม่ติดตามเข้ายื้อแย่งเสียทันท่วงที จำเลยกับพวกก็คงพาตัวผู้เสียหายไปได้ไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยกระทำเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับความอับอาย การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จ ไม่ใช่เพียงฐานพยายาม ส่วนที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 นั้นเพิ่มไม่ได้ เพราะโทษครั้งก่อนจำเลยที่ 1 ยังมิได้ถูกจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276 จำคุกคนละ 6 เดือนลดรับกึ่ง เป็นจำคุกคนละ 3 เดือน เฉพาะจำเลยที่ 2 กระทำไปเพียงให้เกิดกำลังใจแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการอันแท้จริงเท่านั้นจึงให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 41, 42 ที่แก้ไขและให้ยกคำขอเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 เสีย
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นแต่เพียงพยายามฉุดคร่าและขอให้รอการลงโทษไว้ก่อน
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับปู่แม่ และน้าสาวไปนั่งดูเขาเล่นตรุษกันที่ปากตรอกบ้าน จำเลยทั้งสองและพวกอีก 2 คน ต่างมีไม้ตะพดได้เข้ามาที่ตัวผู้เสียหาย จำเลยที่ 1คว้าแขนผู้เสียหายดึงลากไป ผู้เสียหายนั่งอยู่เลยถูกไถลากไปกับพื้นดิน พวกจำเลยเข้ากั้นไม่ให้แม่และน้าสาวช่วย แม่ผู้เสียหายเข้ากอดตัวผู้เสียหายไว้ และต่างร้องเอะอะกันขึ้น จำเลยที่ 1 ปล่อยผู้เสียหายแล้วยังกลับมาลากอีก แม่ผู้เสียหายก็เข้ากอดไว้จนจนผู้เสียหายหลุดจากมือจำเลย แล้วผู้เสียหายกับพวกก็เลยพากันหนีเข้าบ้านไปได้ จำเลยฉุดผู้เสียหายไถดินไปสัก 2 วา ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉุดคร่าสำเร็จแล้ว ดังที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วในฎีกาที่ 982/2482 ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า”กรรมแห่งการฉุดคร่าได้สำเร็จผลแล้ว เพราะจำเลยได้ฉุด น.ส.สรวยไปตั้ง 1 วา น.ส.สรวยจึงสบัดหลุดไปเกาะเอวนางเพียร”
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 เดือน แต่ให้รอการลงโทษศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ไว้ 3 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ตาม ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกิน 1 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ศาลฎีกาพิพากษายืน