คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ออกตั๋วแลกเงินสั่งสาขาธนาคารจำเลยที่ 3 ให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 1 หรือตามคำสั่ง โดยสาขาธนาคารของจำเลยที่ 3 ผู้จ่ายลงลายมือชื่อด้านหน้าของตั๋วแลกเงินใต้ข้อความว่า ‘เป็นอาวัลค้ำประกันผู้สั่งจ่าย’ ต้องถือว่าการลงลายมือชื่อของสาขาธนาคารจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นอาวัล และผู้จ่ายเป็นผู้รับอาวัลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 938 วรรคสองตอนสุดท้าย
มาตรา 939 วรรคสามที่บัญญัติว่า ‘อนึ่งเพียงแต่ลงลงลายมือชื่อผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว เว้นแต่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย’ นั้นหมายความว่า ถ้าผู้จ่ายลงลายมือชื่อด้านหน้าของตั๋วเงินอย่างเดียวโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง กฎหมายจึงไม่ให้ถือว่าเป็นคำรับอาวัล เพราะการลงลายมือชื่อดังกล่าวเป็นการรับรองการจ่ายเงินตามมาตรา 931 อยู่แล้ว หากมาตรา939 วรรคสามไม่ยกเว้นไว้ก็จะเป็นทั้งคำรับรองการจ่ายเงินและคำรับอาวัลซ้ำกัน ไม่อาจทราบได้ว่าลงลายมือชื่อในฐานะใด
สาขาธนาคารจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับอาวัลต้องบังคับตามมาตรา 940 คือจำเลยที่ 3 มีความผูกพันอย่างเดียวกับโจทก์ผู้สั่งจ่าย การที่จำเลยที่ 3 จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินซึ่งสาขาของตนรับอาวัลจึงเป็นการปฏิบัติไปตามกฎหมาย โจทก์ผู้สั่งจ่ายไม่มีอำนาจสั่งห้ามจำเลยที่ 3 จ่ายเงิน
อำนาจสั่งห้ามตามมาตรา 992 เป็นบทบัญญัติว่าด้วยเรื่องเช็คโดยเฉพาะจะนำมาใช้กับตั๋วแลกเงินไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 โจทก์ได้ซื้อตั๋วแลกเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาอุตรดิตถ์ จำนวน 52,080.09 บาท ซึ่งเป็นธนาคารสาขาอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 3 เพื่อสั่งให้จำเลยที่ 3 จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้จำเลยที่ 1 แล้วส่งมอบตั๋วแลกเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผิดสัญญากับโจทก์ โจทก์บอกเลิกสัญญาและขอตั๋วแลกเงินคืน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่คืนให้ โจทก์ได้แจ้งอายัดตั๋วแลกเงินต่อธนาคารกรุงไทย สาขาอุตรดิตถ์ ธนาคารกรุงไทยสาขาอุตรดิตถ์โทรศัพท์และมีหนังสือแจ้งการอายัดถึงจำเลยที่ 3 และโทรเลขแจ้งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทราบ จำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งการอายัดแล้วจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงจ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินฉบับนั้นไป ขอให้จำเลยทั้งสามใช้เงินตามตั๋วแลกเงินพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 58,591.09 บาท ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงินผลกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการขายน้ำมัน7,680 บาท กับค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อและติดตามทวงถาม 5,000 บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า เป็นผู้รับรองตั๋วแลกเงินฉบับพิพาทตามกฎหมายตามธรรมเนียมประเพณีการค้าและธนาคารพาณิชย์ โจทก์จะสั่งระงับการจ่ายเงินไม่ได้ เพราะมีผู้นำตั๋วแลกเงินฉบับพิพาทมายื่น จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับรองต้องจ่ายเงินทันที ทั้งตั๋วแลกเงินได้เปลี่ยนมือจากจำเลยที่ 1 ไปยังธนาคารนครหลวงไทย จำกัด สาขาเจริญผลแล้ว การสั่งระงับการจ่ายเงินของโจทก์ไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันรับผิดใช้เงินแก่โจทก์63,135.09 บาท โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเพียง 55,335.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 52,080.09 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จ่ายได้รับรองหรืออาวัลตั๋วแลกเงินฉบับพิพาทแล้ว จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้น พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 จะเป็นทั้งผู้รับรองและผู้รับอาวัลไม่ได้ผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่ายต้องห้ามไม่ให้เป็นผู้รับอาวัลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 939 ดังนั้น จำเลยที่ 3 จึงอยู่ในฐานะผู้รับรองต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการใช้เงิน เมื่อโจทก์ห้ามใช้เงินตามตั๋วแลกเงินฉบับนั้น จำเลยที่ 3 ต้องปฏิบัติตาม

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ด้านหน้าของตั๋วแลกเงินปรากฏข้อความพิมพ์ไว้ เหนือลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายว่า “เป็นอาวัลค้ำประกันผู้สั่งจ่าย” ตรงตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 939 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ยังมีข้อความว่า “อันการรับอาวัลย่อมทำให้กันด้วยเขียนลงในตั๋วเงินนั้นเองหรือที่ใบประจำต่อ

ในการนี้พึงใช้ถ้อยคำสำนวนว่า “ใช้ได้เป็นอาวัล” หรือสำนวนอื่นใดทำนองเดียวกัน และลงลายมือชื่อผู้รับอาวัล” จึงต้องถือว่าการลงลายมือชื่อของสาขาธนาคารจำเลยที่ 3 เป็นอาวัล โจทก์ฎีกาว่ากฎหมายกำหนดตัวผู้รับอาวัลไว้เฉพาะบุคคลภายนอกผู้จ่ายจะเป็นผู้รับอาวัลไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าผู้จ่ายเป็นผู้รับอาวัลได้ตามมาตรา 938 วรรคสองตอนสุดท้าย ส่วนที่มาตรา 939 วรรคสามบัญญัติว่า “อนึ่งเพียงลงลายมือชื่อผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว เว้นแต่กรณีที่เป็นลายมือชื่อผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย” นั้นหมายความว่า ถ้าผู้จ่ายลงลายมือชื่อด้านหน้าเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีถ้อยคำสำนวนตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสอง กฎหมายจึงไม่ให้ถือว่าเป็นคำรับอาวัล เพราะการลงลายมือชื่อดังกล่าวเป็นคำรับรองการจ่ายเงินตามมาตรา 391 อยู่แล้ว หากมาตรา 939 ไม่ยกเว้นไว้ก็จะเป็นทั้งคำรับรองการจ่ายเงินและคำรับอาวัลซ้ำกัน ไม่อาจทราบได้ว่าลงลายมือชื่อในฐานะใด เมื่อฟังว่าสาขาธนาคารจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับอาวัลก็ต้องบังคับตามมาตรา 940 คือจำเลยที่ 3 มีความผูกพันอย่างเดียวกับผู้สั่งจ่ายหรือโจทก์ ฉะนั้นการที่จำเลยที่ 3 จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินซึ่งมีสาขาธนาคารของตนรับอาวัล จึงเป็นการปฏิบัติไปตามกฎหมาย โจทก์ผู้สั่งจ่ายไม่มีอำนาจสั่งห้ามจำเลยที่ 3 จ่ายเงินที่โจทก์ฎีกาว่ามีอำนาจตามมาตรา 992 ศาลฎีกาเห็นว่ามาตรา 992 บัญญัติไว้ในหมวด 4 อันเป็นหมวดว่าด้วยเรื่องเช็คโดยเฉพาะจะนำมาใช้กับตั๋วแลกเงินไม่ได้

พิพากษายืน

Share