แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 เอาทรัพย์ของผู้ตายไปฝังดินไว้ภายหลังจากฆ่าผู้ตายโดยจะขุดมาแบ่งกับพวกเมื่อเรื่องเงียบแล้ว ถือได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต เป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเข้าลักษณะความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 จะขุดเอาทรัพย์ดังกล่าวขึ้นมาในภายหลังหรือไม่เป็นดุลพินิจของจำเลยที่ 1ไม่ทำให้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเปลี่ยนแปลงไป จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์
แม้จำเลยที่ 1 จะเคยป่วยเป็นโรคจิตชนิดจิตเภทและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ แต่การที่จำเลยที่ 1 ออกจากโรงพยาบาลดังกล่าวมา หลังจากนั้นไม่ได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลอีกเลย และยังคงรับราชการตำรวจอยู่จนถึงวันเกิดเหตุแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้หายป่วยหรือมีอาการทุเลาขึ้นจนสามารถปฏิบัติราชการได้แล้ว อีกทั้งสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายก็เนื่องจากผู้ตายด่าว่าดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงต่อบุพการีวงศ์ตระกูล และตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 รู้สำนึกต่อการกระทำของผู้ตายดังกล่าวจึงได้บันดาลโทสะและฆ่าผู้ตาย นอกจากนี้ยังได้ความว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ยังได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซ่อนเร้นศพผู้ตายโดยทิ้งศพพร้อมด้วยรถยนต์กระบะของผู้ตายลงไปในบ่อดินลูกรังเพื่อปิดบังการตายและนำทรัพย์ต่าง ๆ ที่ติดตัวผู้ตายมาฝังดินซุกซ่อนไว้อีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงชัดว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังคงมีความโกรธต่อการถูกด่าว่าและดูหมิ่นเหยียดหยามจากผู้ตาย มีความกลัวต่อการที่จะต้องรับโทษจากการกระทำความผิดของตนและยังมีความโลภที่จะได้ทรัพย์สินของผู้อื่น ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1027/2539 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา คงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,199, 289(4), 340, 340 ตรี, 357 ริบอาวุธปืน กระสุนปืนและซองกระสุนปืนของกลางให้คืนของกลางอื่นแก่เจ้าของ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 67,000 บาท แก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยที่ 2 คืนเงินสดจำนวน 2,500บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ต่อมาเมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การเป็นว่า จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริงแต่กระทำโดยบันดาลโทสะและจิตบกพร่องเนื่องจากผู้ตายด่าว่า ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงต่อบุพการี วงศ์ตระกูล และตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มีโรคประจำตัวจิตบกพร่องชนิดหนึ่ง หากถูกข่มเหงหรือทำให้เกิดบันดาลโทสะอย่างรุนแรงจะไม่สามารถบังคับตนเองได้ มีอาการลืมตัว จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ความผิดฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ จำเลยที่ 1 ขอให้การรับสารภาพและขอให้การว่าหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้เอาทรัพย์สินของผู้ตายไปจริงแต่ขอปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ
ระหว่างพิจารณานายยุทธนา อรัญรัตน์โสภณ สามีผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหาปล้นทรัพย์และรับของโจร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199, 288 ประกอบมาตรา 72, 334 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานซ่อนเร้นศพ จำคุก 1 ปี ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 14 ปี ฐานลักทรัพย์ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 18 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 83 จำคุกคนละ 1 ปี ริบอาวุธปืนซองกระสุนปืนและกระสุนปืนของกลาง คืนของกลางอื่นแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยก ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินสดจำนวน 60,000 บาท นาฬิกา 1 เรือนบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ จำกัด และธนาคารกรุงไทย จำกัด รวม 2 ใบ แก่เจ้าของหากคืนนาฬิกาไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 7,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ 10 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก5 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานซ่อนเร้นศพและลักทรัพย์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความรับและไม่โต้เถียงกัน อีกทั้งไม่อุทธรณ์ฎีกาต่อมาว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนสั้นออโตเมติกขนาด 11 มิลลิเมตร ยิงนางศิริวรรณ วัฒโนดม ผู้ตาย หลายนัดโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกอวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของเจ้าพนักงานเอกสารหมาย จ.27 ทั้งนี้จำเลยที่ 1 กระทำต่อผู้ตายเพราะบันดาลโทสะโดยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม แล้วจำเลยที่ 1 ได้นำทรัพย์ต่าง ๆ รวมทั้งเงินสดของผู้ตายและนายยุทธนา อรัญรัตน์โสภณ โจทก์ร่วมซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้ตาย รวมราคาทรัพย์และเงินสดจำนวนไม่ต่ำกว่า184,000 บาท ไปฝังดินซุกซ่อนไว้ ครั้นจำเลยที่ 1 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับมาดำเนินคดีจำเลยที่ 1 ได้นำเจ้าพนักงานตำรวจไปยึดทรัพย์ดังกล่าวเกือบทั้งหมดมาเป็นของกลางหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซ่อนเร้นศพผู้ตายโดยทิ้งศพพร้อมด้วยรถยนต์กระบะของผู้ตายลงไปในบ่อดินลูกรังเพื่อปิดบังการตายระหว่างปี 2534 ถึงปี 2535 ขณะจำเลยที่ 1 รับราชการประจำสถานีตำรวจภูธร อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร จำเลยที่ 1 มีอาการผิดปกติ เหม่อลอย พูดเพ้อเจ้อ ตะโกนด่าและเคยใช้อาวุธปืนพยายามฆ่าตัวตายเนื่องจากเข้าใจว่าถูกผู้บังคับบัญชากลั่นแกล้งต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แพทย์ลงความเห็นว่าจำเลยที่ 1 ป่วยเป็นโรคจิตชนิดจิตเภท หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วจำเลยที่ 1 มิได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลอีก และยังคงรับราชการตำรวจจนถึงวันเกิดเหตุ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่านับตั้งแต่วันเกิดเหตุจนถึงวันพบศพผู้ตาย จำเลยที่ 1 มิได้ขุดเอาทรัพย์ของผู้ตายที่จำเลยที่ 1 นำไปฝังไว้มาเป็นของตนหรือจำหน่ายเพื่อแสวงหาประโยชน์แต่ประการใด จำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาลักทรัพย์ของผู้ตายศาลฎีกาเห็นว่า ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะยังมิได้ดำเนินการเกี่ยวแก่ทรัพย์ของผู้ตาย ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา แต่การที่จำเลยที่ 1 เอาทรัพย์ของผู้ตายไปฝังดินไว้ภายหลังจากฆ่าผู้ตายโดยจะขุดมาแบ่งกับพวกเมื่อเรื่องเงียบแล้วถือได้ว่าเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตกล่าวคือ เป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเข้าลักษณะความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 จะขุดเอาทรัพย์ดังกล่าวขึ้นมาในภายหลังหรือไม่เป็นดุลพินิจของจำเลยที่ 1 ไม่ทำให้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วเปลี่ยนแปลงไป จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานลักทรัพย์
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิตหรือไม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ปัญหานี้ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัย อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งอย่างไรก็ดีเนื่องจากคู่ความได้สืบพยานหลักฐานมาจนเสร็จสำนวนแล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไป โดยไม่ย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาเห็นว่าถึงแม้จำเลยที่ 1 จะเคยป่วยเป็นโรคจิตชนิดจิตเภทและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่การที่จำเลยที่ 1 ออกจากโรงพยาบาลดังกล่าวมาหลังจากนั้นไม่ได้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลอีกเลย และยังคงรับราชการตำรวจอยู่จนถึงวันเกิดเหตุแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้หายป่วยหรือมีอาการทุเลาขึ้นจนสามารถปฏิบัติราชการได้แล้ว อีกทั้งสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายก็เนื่องจากผู้ตายด่าว่าดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงต่อบุพการี วงศ์ตระกูล และตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 รู้สำนึกต่อการกระทำของผู้ตายดังกล่าวจึงได้บันดาลโทสะและฆ่าผู้ตาย นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายแล้วจำเลยที่ 1 ยังได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซ่อนเร้นศพผู้ตายโดยทิ้งศพพร้อมด้วยรถยนต์กระบะของผู้ตายลงไปในบ่อดินลูกรังเพื่อปิดบังการตาย และนำทรัพย์ต่าง ๆที่ติดตัวผู้ตายมาไปฝังดินซุกซ่อนไว้อีกด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 แสดงชัดว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังคงมีความโกรธต่อการถูกด่าว่าและดูหมิ่นเหยียดหยามจากผู้ตาย มีความกลัวต่อการที่จะต้องรับโทษจากการกระทำความผิดของตน และยังมีความโลภที่จะได้ทรัพย์สินของผู้อื่น อันเป็นพฤติกรรมของบุคคลปกติทั่วไป ข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่องหรือโรคจิต…”
พิพากษายืน