คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8310/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนมาทาง ส. กับพวก แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80, 60 อันเป็นความผิดต่อผลของการกระทำโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิงผู้เสียหายทุกคนและมีความผิดตามมาตรา 288, 80 อันเป็นผลของการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิง ส. กับพวกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2541 เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นจำนวน 1 กระบอก ไม่มีหลายเลขทะเบียนประทับไว้ และมีกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 นัด ซึ่งใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย และจำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปที่วิทยาลัยเทคนิคตรัง ตำบลบ้านควน อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นทางสาธารณะ หมู่บ้านและเมืองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือได้รับการยกเว้นตามกฎหมายทั้งไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ นอกจากนี้จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายสิริ ด้วงผุด จำนวน 1 นัด โดยเจตนาฆ่า จำเลยกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกนายสิริ แต่พลาดไปถูกนางสุรีย์ พุทธาพิพัฒน์ นางสาวสุภาพร สีรักษ์ นางสาวศิริวรรณ คะเณ นางสาวนุชนภา สมาธิ นางสาววีรนุช เหมือนทอง นางสาวอลิสา คงจันทร์ และนางสาวอัจฉราวดี เต็มสังข์ ได้รับอันตรายแก่กาย โดยเฉพาะนางสาวอัจฉราวดี หากแพทย์รักษาไม่ทันท่วงที อาจถึงแก่ความตายได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 390 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายเป็นกรรมเดียว วางโทษจำคุก 1 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทวางโทษบทหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี 1 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ชั้นสอบสวน และทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน 20 วัน ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 จำคุก 10 ปี รวมกับโทษฐานมีและพาอาวุธปืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาซึ่งโจทก์และจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้เถียงเป็นอย่างอื่นฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยมีและพาอาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางซึ่งเป็นอาวุธปืนไม่มีทะเบียนติดตัวไปที่วิทยาลัยเทคนิคตรังที่เกิดเหตุ และจำเลยใช้อาวุธปืนกระบอกดังกล่าวยิง 1 นัด กระสุนปืนที่จำเลยลั่นไกยิงดังกล่าวถูกนางสุรีย์ พุทธาพิพัฒน์ นางสาวสุภาพร สีรักษ์ นางสาวศิริวรรณ คะเณ นางสาวนุชนภา สมาธิ นางสาววีรนุช เหมือนทอง นางสาวอลิสา คงจันทร์ และนางสาวอุจฉราวดี เต็มสังข์ ได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยามฆ่าตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสิริ ด้วงผุด พยานโจทก์ซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุพยานทราบจากเพื่อนชื่อนายสินชัย แก้วกำเนิด ว่ามีเรื่องชกต่อยกับจำเลยเรื่องแย่งจีบผู้หญิงกัน และจำเลยพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมที่ไหนจะชกต่อย วันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนประมาณ 10 คน ซึ่งเป็นเด็กนักเรียนช่างเชื่อมนั่งอยู่ที่โรงอาหารของวิทยาลัยเทคนิคตรัง เห็นจำเลยกับเพื่อนเดินผ่านมา พยานจึงเดินเข้าไปถามเพื่อนของจำเลยว่าใครเป็นคนพูดว่า พบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกพยานถามย้ำอยู่ 2 ครั้ง เพื่อนของจำเลยไม่ตอบ แต่จำเลยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ร้องตอบว่า “กูพูดเอง” พยานจึงชกปากจำเลย 1 ครั้ง จำเลยใช้กระเป๋าเอกสารลักษณะเป็นกระเป๋าเจมส์บอนด์ที่ถืออยู่ในมือฟาดมาที่ศีรษะพยาน 1 ครั้ง พยานถูกฟาดเซถอยหลังมาเพื่อนของพยานที่นั่งอยู่ก็กรูกันเข้าไปจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไประหว่างอาคาร 2 กับห้องสมุด พวกของพยานวิ่งตามไป ส่วนพยานยังยืนอยู่ที่เดิมเนื่องจากมีเลือดไหลที่หู ระหว่างนั้นพยานได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัดจากทางที่จำเลยวิ่งหนีไป กับโจทก์มีนายคลี่ ขวดทอง เพื่อนนักศึกษาแผนกเดียวกับจำเลยพยานอีกปากหนึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนว่า ก่อนเกิดเหตุพยานเดินออกจากห้องเรียนพร้อมจำเลยกับเพื่อนอีก 3 ถึง 4 คน เพื่อเปลี่ยนห้องเรียน เมื่อเดินมาถึงที่เกิดเหตุพบนายสิริกับพวกประมาณ 30 คน ซึ่งเป็นนักศึกษาแผนกช่างเชื่อม นายสิริเดินมาดึงข้อมือจำเลยพาไปที่ข้างแท็งก์น้ำหลังอาคารเรียน 2 พยานกับพวกจึงพากันเดินตามไปถึงบริเวณหลังแท็งก์น้ำ นายสิริชกต่อยจำเลยและมีเพื่อนของนายสิริประมาณ 20 คน ถือมีด เหล็กแป๊บ และไม้บรรทัดเหล็ก กรูเข้ามาเพื่อจะทำร้ายจำเลย จำเลยวิ่งหนีไปทางหน้าวิทยาลัยซึ่งเป็นสนามบาสเกตบอล เมื่อวิ่งไปประมาณ 100 เมตร พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองสั้นออกมายิงสวนมาทางนายสิริกับพวกจำนวน 1 นัด กระสุนปืนถูกนักศึกษาหญิงที่นั่งอยู่ในโรงอาหารดังนี้ เห็นว่า แม้ตามคำเบิกความของนายสิริซึ่งเป็นคู่วิวาทกับจำเลยโดยตรงจะยังไม่ได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางยิงในลักษณะอย่างไร เพราะพยานบ่ายเบี่ยงเลี่ยงละความจริงอ้างว่ามิได้วิ่งไล่ตามไปทำร้ายจำเลยด้วยก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของนายคลี่ ประจักษ์พยานโจทก์อีกปากหนึ่งได้เบิกความถึงลักษณะการใช้อาวุธปืนยิงของจำเลยไว้ชัดเจนว่า พยานเห็นจำเลยชักอาวุธปืนลูกซองพกสั้นของกลางออกมายิงสวนไปทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยจำนวน 1 นัด คำเบิกความของนายคลี่จึงชอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักเชื่อถือได้อย่างสนิทใจเพราะนอกจากจะมีรายละเอียดของลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุผลแล้ว ลักษณะการยิงตามคำเบิกความของพยานที่ระบุว่า จำเลยใช้ปืนยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกที่วิ่งไล่ตามทำร้ายจำเลยก็สอดคล้องกับวิถีกระสุนปืนที่เมื่อพลาดไม่ถูกนายสิริกับพวก ย่อมมีโอกาสที่ลูกปรายของกระสุนปืนลูกซองจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนที่ยืนหรือนั่งอยู่ในบริเวณนั้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักเชื่อถือได้มากกว่าข้อนำสืบแก้ตัวของจำเลยที่อ้างว่ายิงขึ้นฟ้าเป็นการขู่ ทั้งนี้เพราะหากข้อที่จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงว่าได้ใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิง 1 นัดจริง แต่เป็นการยิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่พวกของนายสิริลูกปรายกระสุนที่จำเลยยิงก็ต้องกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่มีโอกาสที่จะกระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เป็นระนาบเดียวกับจำเลยได้เลย ข้อนำสืบของจำเลยที่ขัดแย้งต่อวิถีกระสุนอันควรจะเป็นจึงขัดต่อเหตุผล ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นของกลางยิงสวนมาทางนายสิริกับพวก แต่กระสุนปืนพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงหลายคนตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ปรับบทลงโทษจำเลยเพียงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อันเป็นการปรับบทลงโทษจำเลยเฉพาะต่อผลของการกระทำโดยพลาดที่เกิดแก่นักศึกษาหญิงผู้เสียหายทุกคนเท่านั้น โดยหาได้ปรับบทลงโทษจำเลยในการกระทำที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงสวนมาทางนายสิริกับพวกซึ่งเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายสิริกับพวกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ด้วยนั้น ไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อมาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า เมื่อนายสิริถามในเชิงบังคับขู่เข็ญให้ตอบว่าใครเป็นคนพูดว่าพบเด็กช่างเชื่อมแล้วจะชกจำเลยจึงตอบในเชิงตัดรำคาญว่า “กูเอง” โดยจำเลยมิได้มีเจตนาสมัครใจวิวาทกับนายสิรินั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยพาอาวุธปืนลูกซองสั้นติดตัวมาด้วยในขณะเกิดเหตุ ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้แสดงให้เห็นเจตนาในเบื้องต้นแล้วว่า จำเลยเตรียมพร้อมที่จะสมัครใจวิวาท การที่นายสิริกับพวกเข้ามาถามกลุ่มพวกของจำเลยด้วยกิริยาอาการดังที่จำเลยกล่าวอ้าง บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการท้าทายกลุ่มพวกของพวกจำเลยอยู่ในที และเมื่อจำเลยตอบรับว่า “กูเอง” ซึ่งเสมือนเป็นการรับคำท้าทายของนายสิริโดยปริยาย เช่นนี้ พฤติการณ์แห่งคดีถือได้ว่าจำเลยกับนายสิริสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างการกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ขึ้นเป็นข้อแก้ตัว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับปัญหาตามฎีกาในประการสุดท้ายที่จำเลยฎีกาขอให้ปรานีลงโทษในสถานเบา ลดโทษ และรอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยพกพาอาวุธปืนลูกซองสั้นเข้ามาในสถานศึกษาโดยไม่สมควร และยังสมัครใจวิวาทต่อสู้กันสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายในสถานศึกษา อีกทั้งยังใช้อาวุธปืนของกลางที่พกพามาซึ่งเป็นอาวุธปืนลูกซองสั้นยิงโดยไม่สนใจไยดีว่ากระสุนลูกปรายจะกระจายออกไปถูกนักศึกษาคนอื่นได้รับอันตราย และปรากฏว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็กระจายพลาดไปถูกนักศึกษาหญิงผู้เสียหายหลายคนได้รับอันตรายแก่กายด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรงที่ศาลสมควรลงโทษจำเลยอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้วัยรุ่นหรือนักศึกษาคนอื่นๆ ประพฤติเยี่ยงจำเลยอีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษและลดโทษแก่จำเลยแล้ว คงจำคุก 8 ปี โดยไม่พิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยมานั้น นับว่าเหมาะสมเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เบาลงอีก ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้นจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 อีกบทหนึ่ง เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share