แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้มือขวากระชากสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง ของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอกับพระเลี่ยมทองคำซึ่งแขวนอยู่ 1 องค์ไป เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น มิใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยใช้กิริยาฉกฉวยเอาสร้อยคอและพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เมื่อโจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คงลงโทษจำเลยได้เฉพาะฐานลักทรัพย์เท่านั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 339, 83, 371, 91 และขอให้สั่งริบสิ่งของกลาง กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนพระเลี่ยมทองคำหรือใช้ราคา 1,050 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง จำเลยทั้งสองอายุ 18 ปีลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 แล้ว ให้จำคุกคนละ 6 ปี 8 เดือนคำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 4 ปี 5 เดือน 10 วัน ให้จำเลยทั้งสองคืนพระเลี่ยมทองคำ 1 องค์หรือใช้ราคาทรัพย์ดังกล่าว 1,050 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) (ที่ถูกเป็น 335(7) วรรคแรก)จำเลยที่ 2 เกิดวันที่ 24 เมษายน 2512 นับถึงขณะกระทำผิดอายุไม่เกิน17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75แล้ววางโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 เกิดวันที่ 1 กรกฎาคม 2511 นับถึงขณะกระทำผิดอายุไม่ถึง 20 ปีลดมาตราส่วนโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ววางโทษจำคุก 2 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 1 ปีส่วนจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะกระชากสร้อยคอ จำเลยที่ 1 ได้ใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหาย แล้วใช้มือขวากระชากสร้อยคอผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ใช้มือซ้ายกระชากคอเสื้อผู้เสียหายแล้วใช้มือขวากระชากสร้อยคอของผู้เสียหายขาดออกจากกัน และเอาสร้อยคอทองคำดังกล่าวซึ่งหนักเพียง 1 สลึง กับมีพระเลี่ยมทองคำแขวนอยู่ด้วย1 องค์ไป เห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 กระชากคอเสื้อและกระชากสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันในทันใดเพื่อประสงค์จะเอาสร้อยคอของผู้เสียหายเป็นสำคัญ และเป็นเพียงวิธีการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น หาใช่เป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายตามที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ใช้กิริยาฉกฉวยเอาสายสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ หากแต่โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คดีคงลงโทษจำเลยทั้งสองได้เฉพาะฐานลักทรัพย์ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาเท่านั้น”
พิพากษายืน