คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 830/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานป่าไม้ มีอำนาจที่จะยึดใบเบิกทางนำไม้ไว้ เพื่อตรวจสอบได้ และได้ยึดใบเบิกทางนำไม้ของคนอื่นจากผู้เสียหาย โดยมีเหตุผล แล้วจำเลยเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อแลกเปลี่ยนกับใบเบิกทางนำไม้ที่จำเลยยึดไว้ ยังไม่เป็นความผิดฐานกรรโชก เพราะไม่เข้าลักษณะบีบบังคับโดยใช้กำลังข่มขืนหรือขู่เข็ญขืนใจ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒ – ๓ ธันวาคม ๒๔๙๙ จำเลยปลอมตนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ ยึดใบเบิกทางนำไม้และกักเรือตามใบเบิกทาง ๖ ลำ จากนายเฉลิม กับพวก โดยจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจกระทำการนั้นได้ และเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๙ จำเลยขู่นายเฉลิมว่า ถ้าไม่ให้เงินแก่จำเลย ๓๐๐ บาท จำเลยจะไม่คืนใบเบิกทางให้ หากนายเฉลิมจะนำเรือดังกล่าว เดินทางต่อไปโดยไม่มีใบเบิกทาง ก็อาจจะถูกเจ้าพนักงานจับกุม จึงจำต้องยอมให้เงินแก่จำเลย ๑๐๐ บาท และสัญญาว่าจะให้เงินจำเลยภายหลังอีก ๒๐๐ บาท จำเลยจึงคืนใบเบิกทางที่ยึดไว้ให้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๒๗, ๓๐๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๕, ๓๓๗
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ ได้ความว่า จำเลยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้อยู่แล้ว ย่อมแสดงตนได้ ไม่เป็นความผิด ส่วนข้อหากรรโชก เชื่อตามพยานโจทก์ว่า จำเลยได้เรียกร้องเอาเงินจากนายเฉลิมเพื่อแลกเปลี่ยนกับใบเบิกทางจริง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกรรโชกตามฟ้อง พิพากษาว่า จำเลยผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ ซึ่งมีกำหนดโทษเบากว่า ให้จำคุก ๖ เดือนข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์เถียงข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ จำเลยก็มีอำนาจที่จะตรวจและยึดใบเบิกทางเพื่อตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงได้ ส่วนที่นายเฉลิมขอคืนใบเบิกทาง จำเลยกลับเรียกเอาเงินจึงจะยอมคืนให้นั้น การเรียกเอาเงินเป็นการแลกเปลี่ยนกับการคืนใบเบิกทาง ถ้าไม่ให้ก็เพียงแต่ไม่ได้ใบเบิกทางคืนเท่านั้น ไม่เป็นการถูกบังคับด้วยกำลังหรือถูกข่มเข็ญที่จะต้องให้เงินแก่จำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นผิดฐานกรรโชคตามกฎหมายที่ยกขึ้นกล่าว ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้เรียกเงินจริงหรือไม่ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง โจทก์ในฐานกรรโชคเสียด้วย
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานกรรโชคตามกฎหมายแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า ในขณะนั้น นายเฉลิมมิได้ถูกจับกุมอยู่ จำเลยเป็นพักงานป่าไม้มีอำนาจที่จะยึดใบเบิกทางไว้ เพื่อตรวจสอบได้ และเหตุที่ยึดก็มีเหตุผลโดยใบเบิกทางเป็นของนายใหญ่ซึ่งนายเฉลิมกับพวกรับจ้างคุมเรือไม้รายนี้ ไม่ใช่ของนายเฉลิมเอง พฤติการณ์ของจำเลยที่เรียกร้อง เอาเงินเพื่อแลกเปลี่ยนกับใบเบิกทาง ไม่เข้าอยู่ในลักษณะบีบบังคับโดยใช้กำลังข่มขืนหรือขู่เข็ญขืนใจนายเฉลิมดังที่กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๓๐๓ บัญญัติไว้ ทั้งยังได้ความว่า เมื่อนายเฉลิมตอบว่าไม่มีเงิน จำเลยก็มิได้แสดงกิริยาวาจาอันเป็นการบีบบังคับอย่างใดอีก นายเฉลิมจะให้เงินจำเลยหรือไม่ก็ทำได้ทั้งนั้น จึงไม่เป็นการขู่เข็ญขืนใจนายเฉลิม ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริง ก็ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์อันเป็นความผิดฐานกรรโชคตามกฎหมาย ที่โจทก์ขอ จะลงโทษฐานกรรโชกไม่ได้
พิพากษายืน

Share