คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8275/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์และ ว. ฟ้องจำเลยในมูลละเมิดเรียกค่าเสียหายที่โจทก์และ ว. ต้องเสียค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขาดความเชื่อถือในการประกอบอาชีพจากการที่ถูกจำเลยฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณียังไม่ถือว่าโจทก์และ ว. ถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลยในอันที่จะทำให้โจทก์และ ว. ใช้สิทธิทางศาลได้ โจทก์และว. จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 เป็นกรณีศาลยกฟ้องเพราะเหตุที่ยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นแห่งคดีฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามมาตรา 148 และมาตรา 144

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนางสาววิไลเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อเรียกเงินปันผล เงินส่วนแบ่งผลกำไรตามสัญญาหุ้นส่วน ต่อมานางสาววิไลและจำเลยตกลงกันได้ด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมชำระเงิน 316,814.75 บาท ให้แก่นางสาววิไลภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2546 หากผิดนัดยอมให้นางสาววิไลบังคับคดีได้ทันที ตามคดีหมายเลขแดงที่ 9597/2546 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จำเลยไม่ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ นางสาววิไลได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและได้แต่งตั้งโจทก์เป็นผู้แทนนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย จำเลยยอมจ่ายเช็คชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่นางสาววิไล โจทก์ในฐานะผู้แทนของนางสาววิไลจึงได้ทำการถอนการบังคับคดีดังกล่าว ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2548 จำเลยยื่นฟ้องโจทก์และนางสาววิไลเป็นจำเลยเรียกค่าเสียหายอ้างว่าโจทก์ในฐานะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความของนางสาววิไลกระทำละเมิดด้วยการขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและสมคบร่วมกับนางสาววิไลขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยจนจำเลยไม่อาจเดินสะพัดทางบัญชีได้ และยังร่วมกันนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่อยู่ในสำนักงานจำเลย จำเลยจึงจำต้องสั่งจ่ายเช็คตามที่โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้จำเลยชำระตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7450/2548 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ซึ่งต่อมาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษายกฟ้องในส่วนของโจทก์ จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ผลคดีในส่วนของโจทก์จึงถึงที่สุด การที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวทั้งที่จำเลยทราบดีว่าโจทก์มีฐานะเป็นเพียงตัวแทนของนางสาววิไลในการบังคับคดีตามหมายบังคับคดีเท่านั้น และโจทก์ในฐานะตัวแทนได้กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากนางสาววิไล การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและจงใจกระทำละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าว่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 50,000 บาท และทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงขาดความเชื่อถือในการประกอบวิชาชีพทนายความ ขอคิดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงิน 100,000 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดเป็นเงิน 150,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เดิมโจทก์และนางสาววิไลเคยยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายซึ่งมีประเด็นเดียวกันกับในคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้อง โจทก์คดีนี้มิได้อุทธรณ์ คดีส่วนของโจทก์คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4889/2549 ของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์และนางสาววิไลเคยยื่นฟ้องจำเลยในมูลละเมิดเรียกค่าเสียหายที่โจทก์และนางสาววิไลต้องเสียค่าจ้างทนายความและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงขาดความเชื่อถือในการประกอบอาชีพจากการที่ถูกจำเลยฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณียังไม่ถือว่าโจทก์และนางสาววิไลถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลยในอันที่จะทำให้โจทก์และนางสาววิไลใช้สิทธิทางศาลได้ โจทก์และนางสาววิไลจึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4889/2549 ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่อุทธรณ์คดีในส่วนของโจทก์ถึงที่สุด ต่อมาโจทก์จึงมายื่นฟ้องใหม่เป็นคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 4889/2549 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยเพียงว่า ตามคำฟ้องยังไม่ถือว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากจำเลยในอันที่จะทำให้โจทก์ใช้สิทธิทางศาลได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โดยที่ศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง แต่เป็นกรณีศาลได้ยกฟ้องในคดีดังกล่าว เพราะเหตุที่ยังมิได้มีข้อโต้แย้งไม่มีเหตุที่จะให้ศาลวินิจฉัยเนื้อหาในประเด็นแห่งคดีฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และมาตรา 144 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share