คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8260/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แผ่นพับโฆษณาให้บุคคลทั่วไปทราบว่า โจทก์มีโครงการโอนทรัพย์จำนองชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระหนี้ค้างชำระสูงและไม่สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ ให้สามารถปลดภาระหนี้ที่มีอยู่ด้วยวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่จำนองให้โจทก์แทนการชำระหนี้ โดยโจทก์กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาของโจทก์ก่อน แผ่นพับโฆษณาดังกล่าวยังไม่ชัดเจนแน่นอน จึงมิใช่คำเสนอ แต่เป็นเพียงคำเชื้อเชิญให้ผู้สนใจทำคำเสนอเข้ามาเท่านั้น คำร้องขอของจำเลยที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ จึงจัดว่าเป็นคำเสนอเมื่อโจทก์มิได้สนองรับย่อมไม่ก่อให้เกิดสัญญา
จำเลยค้างชำระหนี้เงินแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องชำระเงินให้แก่โจทก์โดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ เพราะการชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 208 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยเสนอขอชำระหนี้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์รับโอนทรัพย์จำนองแทนการชำระหนี้ด้วยเงิน จึงมิใช่เป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่โจทก์โดยชอบ โจทก์ย่อมมีเหตุผลที่จะปฏิเสธการรับชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้จากจำเลย โจทก์จึงไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 207 จำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้อง
แม้ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองจะเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้รับจำนองและจำเลยผู้จำนองตกลงกันเป็นประการพิเศษนอกเหนือจากที่ ป.พ.พ. มาตรา 733 บัญญัติไว้ ซึ่งบทบัญญัติตามมาตรา 733 ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติสันนิษฐานถึงเจตนาของคู่กรณีเท่านั้น มิใช่บทกฎหมายซึ่งเกี่ยวด้วยผลประโยชน์ของมหาชนโดยทั่วไปแต่เกี่ยวแก่คู่กรณีโดยเฉพาะ และมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมตามที่นิยมกันในหมู่ชนทั่วไปหรือธรรมเนียมประเพณีของสังคมแต่อย่างใด จึงไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์อาจตกลงกับจำเลยเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ก็ย่อมกระทำได้ ดังนั้น ในกรณีที่โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอใช้เงิน โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อื่นของจำเลยในฐานะผู้จำนองเป็นประกันมาใช้หนี้จนครบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,221,718.64 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 834,495.15 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าเบี้ยประกันอัคคีภัยแก่โจทก์เป็นเงินครั้งละ 1,461.62 บาท ทุก 3 ปี ต่อครั้ง เริ่มชำระตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาด หากไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 840,501.60 บาท แก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 51336 ตำบลสุรศักดิ์ (ศรีราชา) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,221,718.64 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 834,495.15 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 840,000 บาท เพื่อซื้อที่ดินและอาคารดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน เดือนละ 18,000 บาท ทุกวันที่ 24 ของเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 24 ธันวาคม 2540 เป็นต้นไป ตกลงชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 25 ปี นับแต่วันทำสัญญา หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์เรียกต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ทันที จำเลยสัญญาว่าจะทำประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างที่จำนองเป็นประกันหนี้โจทก์โดยกำหนดให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์และจำเลยเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย หากจำเลยไม่จัดการเอาประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าวและโจทก์ได้จัดการเอาประกันอัคคีภัยแทนไป จำเลยยอมให้โจทก์นำค่าเบี้ยประกันภัยรวมเข้ากับยอดเงินที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 51336 ตำบลสุรศักดิ์ (ศรีราชา) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ไว้แก่โจทก์ โดยมีข้อตกลงว่าหากโจทก์บังคับจำนองได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมชำระหนี้ส่วนที่ขาดจนครบ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือสัญญากู้เงิน หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเป็นประกัน โจทก์ทำสัญญาประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างที่จำนองโดยจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยไปจำนวน 1,461.62 บาท ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยคงผ่อนชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์เพียงบางส่วน ในปี 2541 โจทก์มีโครงการโอนทรัพย์จำนองชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระหนี้ค้างชำระสูงและไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าจะโอนหลักประกันเพื่อหักกลบลบหนี้ไม่เกินอัตราร้อยละ 90 ของมูลค่าหลักประกัน หากมีหนี้ส่วนเกิน ลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันโอนกรรมสิทธิ์ ตามประกาศโฆษณา จำเลยจึงยื่นคำร้องต่อโจทก์เพื่อขอโอนทรัพย์จำนองชำระหนี้ วันที่ 31 กรกฎาคม 2541 โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2542 เป็นเงิน 8,988 บาท ยังคงค้างชำระต้นเงินอยู่อีก 834,495.15 บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยทราบแล้ว ตามหนังสือบอกกล่าวและไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าการที่โจทก์ไม่รับโอนทรัพย์จำนองของจำเลยชำระหนี้ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดหรือไม่ เห็นว่า แผ่นพับเป็นเพียงประกาศโฆษณาให้บุคคลทั่วไปได้ทราบว่า โจทก์มีโครงการโอนทรัพย์จำนองชำระหนี้ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีภาระหนี้ค้างชำระสูงและไม่สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ ให้สามารถปลดภาระหนี้ที่มีอยู่ด้วยวิธีการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่จำนองให้โจทก์แทนการชำระหนี้ โดยโจทก์กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขหลายประการซึ่งจะต้องผ่านการพิจารณาของโจทก์ก่อน แผ่นพับโฆษณาดังกล่าวยังไม่ชัดเจนแน่นอน จึงมิใช่คำเสนอ แต่เป็นเพียงคำเชื้อเชิญให้ผู้สนใจทำคำเสนอเข้ามาเท่านั้น คำร้องของจำเลยที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการจึงจัดว่าเป็นคำเสนอเมื่อโจทก์มิได้สนองรับย่อมไม่ก่อให้เกิดสัญญา จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์และหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องชำระเงินให้แก่โจทก์โดยปราศจากเงื่อนไขใด ๆ เพราะการชำระหนี้จะให้สำเร็จผลเป็นอย่างใด ลูกหนี้จะต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นอย่างนั้นโดยตรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 208 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยเสนอขอชำระหนี้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์รับโอนทรัพย์จำนองแทนการชำระหนี้ด้วยเงิน จึงมิใช่เป็นการขอปฏิบัติการชำระหนี้แก่โจทก์โดยชอบ โจทก์ย่อมมีเหตุผลที่จะปฏิเสธการรับชำระหนี้ได้ การที่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้จากจำเลย โจทก์จึงไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 207 จำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า หากโจทก์บังคับจำนองได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอชำระหนี้ จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่ยังขาดอยู่ตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองหรือไม่ ตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองระบุว่า “ถ้าหากมีการบังคับจำนอง และภายหลังจากเอาทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้อันผู้จำนองและหรือลูกหนี้มีหน้าที่ที่ต้องชำระแก่ผู้รับจำนองหรือเมื่อผู้รับจำนองเอาทรัพย์สินที่จำนองหลุดเป็นสิทธิ และราคาทรัพย์สินที่จำนองยังต่ำกว่าหนี้อันผู้จำนองหรือลูกหนี้จะต้องชำระเป็นจำนวนเงินเท่าใด ผู้จำนองยินยอมรับใช้เงินจำนวนที่ขาดนั้นจนครบ” เห็นว่า ข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ผู้รับจำนองและจำเลยผู้จำนองตกลงกันเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 733 บัญญัติไว้ซึ่งบทบัญญัติตามมาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบทบัญญัติสันนิษฐานถึงเจตนาของคู่กรณีเท่านั้น มิใช่บทกฎหมายซึ่งเกี่ยวด้วยผลประโยชน์ของมหาชนโดยทั่วไปแต่เกี่ยวแก่คู่กรณีโดยเฉพาะ และมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมตามที่นิยมกันในหมู่ชนทั่วไปหรือธรรมเนียมประเพณีของสังคมแต่อย่างใด จึงไม่ใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์อาจตกลงกับจำเลยเป็นประการอื่นพิเศษนอกเหนือจากที่มาตรา 733 บัญญัติไว้ก็ย่อมกระทำได้ ดังนั้น ในกรณีที่โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอใช้เงิน โจทก์ก็ยังมีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อื่นของจำเลยในฐานะผู้จำนองเป็นประกันมาใช้หนี้จนครบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 51336 ตำบลสุรศักดิ์ (ศรีราชา) อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share