คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 826/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวในฟ้องว่า ก. ไม่เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของ พ. เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยไม่ได้ต่อสู้ความข้อนี้ เป็นแต่กล่าวในคำให้การถึงเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ว่า ทรัพย์นั้นเป็นสินสมรสของ พ. และ ก. ซึ่งได้สร้างขึ้นเมื่อเป็นสามีภรรยากันมาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ต้องถือว่าในข้อที่ว่า พ. กับ ก. เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น จำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้โดยชัดแจ้ง จึงต้องฟังตามคำโจทก์ว่า พ. กับ ก. ไม่ได้เป็นผัวเมียกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การที่ศาลจะแบ่งทรัพย์ระหว่างชายหญิงซึ่งไม่ใช่ผัวเมียกันอย่างเป็นเจ้าของร่วมนั้น ต้องเป็นทรัพย์ที่ชายหญิงทำมาหาได้มาด้วยกัน โดยเห็นเจตนาได้ว่าการที่เขาปฏิบัติต่อกันฉันสามีภรรยา และช่วยกันหาทรัพย์มาเช่นนี้.มีความประสงค์จะหาร่วมกัน
ตามมาตรา 1627 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุตรนอกกฎหมายถ้าบิดาได้รับรองแล้ว แม้จะยังไม่ถึงกับเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย ก็ยังอาจมีสิทธิรับมรดกของชายผู้ให้กำเนิดได้ ในฐานะเป็นผู้สืบสันดานตามมาตรา1629(1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรนอกกฎหมายของ พ. โจทก์ฟ้องห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกของ พ. แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า พ.ได้รับรองเด็กเป็นบุตรอันจะทำให้เด็กมีสิทธิได้รับมรดกของพ. หรือไม่นั้น ยังไม่ปรากฏ ความข้อนี้คู่ความมิได้ขึ้นโต้เถียงอย่างชัดแจ้งในศาลล่าง แต่เป็นปัญหาที่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้เยาว์ ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความ เพราะถ้าห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องกับทรัพย์นี้ในฐานที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กผู้เยาว์แล้ว ผู้เยาว์อาจเสียหายได้ ดังนี้ ย่อมเป็นข้อกฎหมายซึ่งเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลฎีกามีอำนาจย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาในข้อนี้แล้วพิพากษาใหม่

ย่อยาว

ความว่า ทรัพย์รายพิพาทนี้ เดิมเป็นของนายชู โจทก์เป็นภริยานายชู แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน นายชูมีบุตรกับนางมีคนหนึ่งคือนายเพชร นายเพชรได้เสียกับนางเกลื่อมและมีบุตรที่ยังมีชีวิตอยู่อีก 3 คน คือเด็กชายสมพร เด็กชายถาวร และเด็กหญิงอารี ส่วนจำเลยเป็นบุตรติดมากับนางเกลื่อม นายเพชรนางเกลื่อมได้ตายไปหมดแล้วบุตรทั้ง 3 คน โจทก์ได้เลี้ยงดูมา เดือน 12 ปีที่ฟ้อง จำเลยได้แย่งเด็กชายถาวร เด็กหญิงอารีไปจากโจทก์ แล้วมาร้องขอเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์และปกครองทรัพย์ โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของนายเพชร ส่วนเด็กชายสมพรยังคงอยู่กับโจทก์ จึงขอให้ศาลห้ามจำเลยอย่าให้เกี่ยวข้องกับทรัพย์ของโจทก์ตามบัญชีท้ายฟ้อง จำเลยต่อสู้ว่าทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข 2-4 เป็นมรดกตกได้แก่นายเพชรนางเกลื่อม หมายเลข 1-3-5 เป็นสินสมรสของนายเพชรนางเกลื่อมเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยและผู้เยาว์ทั้ง 4 ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมคดีของโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นฟังว่านางเกลื่อมได้กับนายเพชรโดยไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายเด็กทั้ง 3 ก็ไม่ใช่บุตรของนายเพชรโดยชอบด้วยกฎหมายไม่มีสิทธิรับมรดกนายเพชร จำเลยก็ไม่ใช่ลูกของนายเพชร พิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องทรัพย์ที่พิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า นางเกลื่อมไม่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเพชรเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส จำเลยให้การว่าทรัพย์บางอย่างเป็นสินสมรสของนายเพชรนางเกลื่อมสร้างขึ้นเมื่อเป็นสามีภริยากันมาโดยชอบด้วยกฎหมายต้องถือว่า ในข้อที่ว่านางเกลื่อมเป็นภริยากันมาชอบด้วยกฎหมายของนายเพชรหรือไม่นั้นจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ชัดแจ้ง คดีต้องฟังตามคำของโจทก์ว่านายเพชรนางเกลื่อมไม่ใช่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อฟังว่าทรัพย์รายพิพาทเดิมเป็นของนายชู และต่อมาหากจะตกทอดมายังนายเพชร ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่นางเกลื่อมซึ่งมิใช่ภริยาจะมีส่วนได้ด้วย เพราะไม่ปรากฏว่าเป็นทรัพย์ที่นายเพชรนางเกลื่อมได้ร่วมกันทำมาหาได้แต่ประการใด เมื่อนางเกลื่อมไม่มีสิทธิแล้ว นางสาวยินดีจำเลยในคดีนี้ซึ่งมิใช่บุตรนายเพชรก็หามีสิทธิในทรัพย์นั้นไม่ ในฐานะส่วนตัวนางสาวยินดีไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องกับทรัพย์เหล่านี้ แต่ในฐานผู้ปกครองเด็กชายสมพร เด็กชายถาวรนั้น โจทก์อ้างในฟ้องว่าผู้เยาว์เหล่านี้ไม่มีสิทธิจะรับมรดกของนายเพชร เมื่อได้อ่านมาตรา 1627, 1629 รวมกัน เห็นได้ว่าผู้สืบสันดานซึ่งมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะรับมรดก อาจเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายก็ได้ อาจเป็นบุตรที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมก็ได้ ส่วนบุตรนอกกฎหมายถ้าบิดารับรองแล้ว แม้จะยังไม่ถึงกับเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายก็ยังอาจมีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้ให้กำเนิดได้ ในฐานะเป็นผู้สืบสันดานตามมาตรา 1629(1) คดีเรื่องนี้โจทก์อ้างในคำฟ้องว่านายชูถึงแก่กรรมทรัพย์ทั้งหมดตกได้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ปกครองตลอดมานายเพชรได้อยู่ในปกครองของโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายเลยว่า เหตุใดนายเพชรจึงไม่มีส่วนได้ในทรัพย์มรดกของนายชู ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างถึงว่าได้ปกครอง แม้โจทก์จะได้ปกครองทรัพย์จริง แต่ก็ได้ปกครองนายเพชรด้วย โจทก์ไม่ได้อ้างเหตุผลให้เห็นว่าเหตุใดนายเพชรจึงไม่ได้ส่วนในมรดกนั้น และตามคำบรรยายฟ้องก็เห็นได้ว่านายเพชรมีส่วนได้เสียด้วย จึงถือเอาตามนั้น แต่ข้อเท็จจริงที่ว่านายเพชรได้รับรองเด็กชายสมพร เด็กชายถาวร และเด็กหญิงอารีเป็นบุตรหรือไม่นั้น ยังไม่ปรากฏ ความข้อนี้คู่ความมิได้ยกขึ้นโต้เถียงอย่างชัดแจ้งในศาลล่าง แต่ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้เยาว์ ซึ่งมิได้เป็นคู่ความ เพราะถ้าห้ามจำเลยมิให้เข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์เหล่านี้ในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์แล้ว ผู้เยาว์อาจเสียหายได้ ศาลจึงสมควรจะระมัดระวังผลประโยชน์ให้แก่ผู้เยาว์ อนึ่งข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฉะนั้นอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรค 2 มาตรา 240(2) และมาตรา 247 ศาลฎีกาจึงเห็นชอบที่จะให้ดำเนินคดีต่อไปจนสิ้นกระแสความ

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความตามแนวข้อกฎหมายที่กล่าวแล้ว

Share