แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดที่มีโทษถึงขั้นไล่ออก เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างและรับโจทก์กลับเข้าทำงาน มิฉะนั้นให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ย เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นสิทธิในทางแพ่งโดยเฉพาะ ไม่ได้อาศัยมูลความผิดทางอาญา แม้จำเลยทั้งสองจะให้การว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ เพราะโจทก์กระทำความผิดอาญาโดยทำร้ายร่างกาย พ. และถูกศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ไม่ทำให้คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวจะนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาตรา 46 มาใช้บังคับไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางให้โจทก์นำสืบถึงสาเหตุและพฤติการณ์ที่โจทก์ทำร้าย พ. และนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้จงใจทำผิดข้อบังคับและไม่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด
แม้จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างตาม พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ มาตรา 6 (2) แต่จำเลยที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 กระทำไปภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ 250/2545 ให้จำเลยที่ 1 รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนเดิมโดยให้โจทก์ได้รับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์เดิมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2545 หากจำเลยที่ 1 ไม่ยอมหรือไม่อาจรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า บำเหน็จถึงเกษียณอายุ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมรวมเป็นเงิน 12,211,431 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับกลับเข้าทำงานหรือเรียกร้องเงินใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ 250/2545 ของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิมพร้อมทั้งจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันที่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน หากจำเลยไม่ยอมรับหรือไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 80,534 บาท ค่าชดเชย 308,430 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 1,850,580 บาท รวมเป็นเงิน 2,239,544 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (10 พฤษภาคม 2545) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ในข้อ 2.1 และข้อ 2.5 ว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ถูกฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายนายไพฑูรย์ พึ่งเพ็ง ซึ่งศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษโจทก์ไปแล้ว คดีดังกล่าวโจทก์ให้การรับสารภาพโดยไม่ได้นำสืบว่าเหตุทำร้ายเกิดขึ้นเนื่องจากการกระทำของนายไพฑูรย์ การที่ศาลแรงงานกลางยอมให้โจทก์นำพยานเข้าสืบถึงสาเหตุแห่งการกระทำของโจทก์ และนำมาวินิจฉัยว่ามิได้จงใจทำผิดข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ทั้งการกระทำของโจทก์ไม่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการจงใจทำผิดข้อบังคับฉบับที่ 46 ข้อ 4.9, 4.10 และ 4.13 ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดที่มีโทษถึงขั้นไล่ออก เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้เพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างและรับโจทก์กลับเข้าทำงาน มิฉะนั้นให้จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ย เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาจ้างแรงงานและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานซึ่งเป็นสิทธิในทางแพ่งโดยเฉพาะ ไม่ได้อาศัยมูลความผิดทางอาญา แม้จำเลยทั้งสองจะให้การว่าจำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินใด ๆ เพราะโจทก์กระทำความผิดอาญาโดยทำร้ายร่างกายนายไพฑูรย์และถูกศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ไม่ทำให้คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 มาใช้บังคับไม่ ที่ศาลแรงงานกลางให้โจทก์นำสืบถึงสาเหตุและพฤติการณ์ที่โจทก์ทำร้ายนายไพฑูรย์และนำมาวินิจฉัยว่าโจกท์ไม่ได้จงใจทำผิดข้อบังคับและไม่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นคนตรงมิได้สนิทสนมคุ้นเคยกับนายไพฑูรย์ แต่นายไพฑูรย์ชอบอ้างว่าเป็นเพื่อนกับโจทก์และอ้างชื่อโจทก์ใช้ในทางที่ทำให้โจทก์เสื่อมเสีย โจทก์ย่อมมีสิทธิปกป้องชื่อเสียงให้พ้นจากการถูกทำลายของนายไพฑูรย์ วันเกิดเหตุโจทก์ได้ทราบว่านายไพฑูรย์มาประชุมซึ่งโจทก์ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง โจทก์จึงไปหานายไพฑูรย์เพื่อต่อว่าอันเป็นการปกป้องชื่อเสียงของโจทก์ แม้โจทก์จะใช้วิธีจับแก้มนายไพฑูรย์บีบให้หันมาทางโจทก์แล้วพูดต่อว่า ซึ่งเป็นวิธีที่รุนแรงไม่เหมาะสมและเป็นการทำร้ายนายไพฑูรย์ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำผิดข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 46 ข้อ 4.9, 4.10, 4.13 หรือประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นการทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อ 8.2 และข้อ 8.9 ที่ทำให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิลงโทษไล่โจทก์ออกได้ การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีคำสั่งลงโทษไล่โจทก์ออกจึงเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยทั้งสองจึงต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงาน มิฉะนั้นก็ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อ 2.2 ข้อ 2.3 และข้อ 2.4 ที่ว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและการสอบสวนโจทก์ชอบหรือไม่ จำเลยที่ 1 มีอำนาจลงโทษเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปคงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อ 2.6 เป็นประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัวหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นนายจ้างตามความในพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 มาตรา 6 (2) แต่จำเลยที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยที่ 2 เป็นผู้อำนวยการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 เมื่อจำเลยที่ 2 กระทำการไปภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง