แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถ และจัดรถนั้นรับคนโดยสารนำเที่ยว เก็บค่าโดยสารคนละ 55 บาท และโจทก์เป็นผู้โดยสารแสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาว่าจำเลยมีหน้าที่เป็นผู้รับขนคนโดยสารแล้ว
เมื่อรถที่ลูกจ้างขับไปชนรถอื่นเพราะเหตุสุดวิสัยนายจ้างไม่ต้องรับผิดทั้งในฐานะนายจ้างและในฐานะผู้รับขนคนโดยสาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์ เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2502 จำเลยที่ 1 จัดรถยนต์ดังกล่าวรับคนโดยสารนำไปเที่ยวพระพุทธบาทสระบุรีเก็บค่าโดยสารคนละ 55 บาท จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นผู้โดยสาร จำเลยที่ 2 ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ไปด้วยความประมาทชนรถยนต์บรรทุกซุงเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและชั้นพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้จัดรถนำเที่ยวและจำเลยที่ 2ไม่ได้ประมาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าจำเลยต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้รับขนคนโดยสารด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ถ้าโจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพียงในฐานะนายจ้างสถานเดียว จะกล่าวในฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของรถ จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างและขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาท ทำให้โจทก์เสียหายก็พอแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดรถคันดังกล่าวรับขนคนโดยสารค่าโดยสารคนละ 55 บาท ในลักษณะรับเหมาเท่ากันหมด และโจทก์โดยสารมาในรถคันนั้นด้วย การที่กล่าวเช่นนั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพแห่งข้อหาในฐานะที่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่เป็นผู้รับขนคนโดยสารด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับขนคนโดยสารอีกโสดหนึ่ง ต้องรับวินิจฉัยให้ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ประมาท แต่ข้อเท็จจริงนอกจากยังฟังไม่ได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดแล้วยังฟังได้ว่าการที่รถโดยสารถูกรถบรรทุกชนนั้นเป็นการนอกอำนาจของจำเลยที่ 2 จะป้องกันได้ ถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดทั้งในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 2 และในฐานะผู้รับคนโดยสาร
พิพากษายืนในผลของคดีให้ยกฟ้องโจทก์