แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพียง 10,000 บาทแล้วจำเลยแก้ไขจำนวนเงินในใบรับเงินที่เจ้าหนี้เซ็นชื่อเป็นผู้รับเงิน โดยแก้ 10,000 บาท เป็น 70,000 บาท ต่อมาจำเลยคัดสำเนาใบรับเงินที่ปลอมนั้นมาแสดงต่อศาลทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเพราะถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้ว เจ้าหนี้จะต้องขาดเงินที่ควรได้รับชำระหนี้ไป 60,000 บาทการปลอมของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 264 แล้ว และเอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงินนี้ระงับไปแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 265 และการที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วยต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินที่บ้านในท้องที่บุบผาราม.จำเลยที่1และที่2อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฏ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้งส่วนจำเลยที่2ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิแสดงการรับชำระหนี้ซึ่งให้พันตำรวจโทเกษมลงนามเป็นผู้รับเงิน โดยจำเลยแก้เลขจำนวนเงิน 10,000 บาทเป็น 70,000 บาทโดยพันตำรวจโทเกษมมิได้ยินยอม ความจริงพันตำรวจโทเกษมได้รับชำระจากจำเลยเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ที่จำเลยร่วมกันปลอมเพราะพันตำรวจโทเกษมได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ จำเลยจึงได้ใช้และอ้างเอกสารสิทธิที่จำเลยปลอมขึ้นโดยสำเนาเอกสารสิทธิปลอมยื่นต่อศาลแพ่งเพื่อให้หลงเชื่อ ทำให้พันตำรวจโทเกษมเสียหายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 350
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลอาญาฟังว่าจำเลยทั้งสองสมคบกันปลอมใบรับเงินนี้ขึ้นแล้วนำไปใช้โดยอ้างสำเนาในคดีแพ่ง พิพากษาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 265
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า เอกสารใบรับเงินนี้ถูกปลอมแปลงโดยแก้ไขจำนวนเงินจริง และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ปลอม ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหาย ถ้าศาลหลงเชื่อสำเนาที่จำเลยที่ 1 คัดไปยื่นแสดงต่อศาลครบองค์ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 เอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงิน 60,000 บาท นี้ระงับไปแล้ว จึงเป็นเอกสารสิทธิ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตาม มาตรา 265
เรื่องนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งฐานปลอมหนังสือและใช้หนังสือปลอมโดยคัดสำเนาเอกสารมาใช้อ้าง แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำฟ้องไม่ได้ระบุว่าจำเลยใช้และอ้างต่อศาลเมื่อวันใด ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ลงโทษฐานใช้เอกสารปลอมไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมตามมาตรา 268คงลงโทษเช่นเดียวกับผู้ปลอม แต่ถ้าผู้ปลอมเป็นผู้ใช้เองก็ให้ลงโทษฐานใช้แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรค 2 โจทก์ฟ้องว่าวันเวลาใดไม่ปรากฏ ระหว่างวันที่โจทก์ฟ้องจำเลยทำปลอมเอกสาร เหตุที่จำเลยทำปลอมเอกสารเพราะโจทก์ร่วมใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้าง จำเลยจึงได้ใช้และอ้างเอกสารสิทธิที่จำเลยทำปลอมขึ้น โดยคัดสำเนาเอกสารสิทธิยื่นต่อศาลแพ่ง ดังนี้เห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องทั้งปลอมทั้งใช้อ้างในระหว่างวันเวลาที่ฟ้องนั้นเอง ฟ้องของโจทก์สมบูรณ์แล้ว การที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม เป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วย ต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
ข้อที่จำเลยที่ 1 แก้ฎีกาว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามไม่มีอำนาจสอบสวน เพราะเหตุเกิดที่ศาลแพ่ง อำเภอพระนครนั้น ข้อนี้จำเลยไม่ได้คัดค้านมาแต่ต้น และไม่ได้นำสืบคัดค้านข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าใบรับเงินที่จำเลยปลอมนี้โจทก์ร่วมออกให้ที่บ้านโจทก์ร่วมในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลบุบผาราม จำเลยปลอมเติมเอกสารที่ไหนไม่ปรากฏ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยทั้งสองอยู่ที่เทเวศร์ จังหวัดพระนคร จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจนครบาลบุบผาราม ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19และสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย แม้จะถูกจับในท้องที่อื่น เพราะมีข้อหาว่าร่วมกระทำผิดคดีนี้ด้วย
สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ฟังไม่ได้ว่ากระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ลงโทษตามมาตรา 268 ประกอบด้วย 265 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง