แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินฝากที่จำเลยเบิกถอนไปจากบัญชีเงินฝากเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและผู้ถูกตรวจสอบได้มาก่อนพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มีผลใช้บังคับ มิใช่ทรัพย์ที่จะถูกยึดหรืออายัดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว การเบิกถอนเงินของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 42
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2536 เวลากลางวันจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ร้อยตำรวจโทมานพ ขัดชาซึ่งเป็นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ว่าสมุดคู่ฝากเงินธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเชียงรายของจำเลยและนายสมศักดิ์ ยงประเดิม เด็กหญิงจรรยา ยงประเดิม เด็กชายภูเบศร์ ยงประเดิม และเด็กหญิงรจนา ยงประเดิม สูญหายไปจากที่เก็บ ซึ่งเป็นข้อความอันเป็นเท็จ ร้อยตำรวจโทมานพ ขัดชาหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงจดข้อความอันเป็นเท็จนั้นลงในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ซึ่งเป็นเอกสารราชการที่มีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ซึ่งความจริงจำเลยรู้อยู่แล้วว่าสมุดคู่ฝากเงินดังกล่าวมิได้สูญหายแต่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมาย ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ร้อยตำรวจโทมานพ ขัดชา ผู้อื่นหรือประชาชน ต่อมาวันที่ 28มิถุนายน 2536 เวลากลางวัน จำเลยนำสำเนาเอกสารราชการที่ได้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปแสดงต่อนางปริญดาวนชยางค์กูล พนักงานธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเชียงราย และจำเลยถอนเงินสดจำนวน 610,000 บาท ไปจากบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเชียงราย ที่มีชื่อจำเลยและนายสมศักดิ์ยงประเดิม เป็นเจ้าของร่วมกัน โดยจำเลยรู้อยู่ว่าเงินสดในบัญชีเงินฝากดังกล่าวจะถูกยึดหรืออายัดตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 267 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 42
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534มาตรา 42 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานแจ้งความเท็จ จำคุก1 ปี ฐานเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินที่รู้ว่าจะถูกยึดหรืออายัด จำคุก 1 ปีรวมจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยถอนเงินไปจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเชียงราย ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาก่อนพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 42 มีผลใช้บังคับ จึงไม่ใช่ทรัพย์ตามความหมายของพระราชบัญญัติดังกล่าว การเบิกถอนเงินของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดหรือไม่ ซึ่งในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 5 ฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2536 พนักงานเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตรวจค้นบ้านจำเลยและยึดสมุดคู่ฝากเงินธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาเชียงราย จำนวน 5 เล่ม ต่อมาวันที่ 27 มิถุนายน 2536จำเลยแจ้งต่อร้อยตำรวจโทมานพ ขัดชา ว่าสมุดคู่ฝากเงินดังกล่าวสูญหายไปและวันที่ 28 มิถุนายน 2536 จำเลยนำสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าวยื่นต่อสมุห์บัญชีธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาเชียงรายเพื่อให้ออกสมุดคู่ฝากเงินเล่มใหม่จำนวน5 เล่ม และวันเดียวกันจำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากที่จำเลยและนายสมศักดิ์ ยงประเดิม เป็นเจ้าของร่วมกันไปจำนวน 610,000บาท ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2537 คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีคำสั่งที่ 2/2537 ตามเอกสารหมาย ล.1 ให้ยกเลิกการอายัดชั่วคราวทรัพย์สินดังกล่าวเนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกตรวจสอบได้มาก่อนพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับ เห็นว่า เงินฝากที่จำเลยเบิกถอนไปจำนวน610,000 บาท จากบัญชีเงินฝากที่จำเลยและนายสมศักดิ์ ยงประเดิมเป็นเจ้าของร่วมกันที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาเชียงราย นั้นเป็นทรัพย์สินที่จำเลยและนายสมศักดิ์ ยงประเดิม ผู้ถูกตรวจสอบได้มาก่อนพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับ จึงมิใช่ทรัพย์ที่จะถูกยึดหรืออายัดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว การเบิกถอนเงินของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ลงโทษจำเลยฐานเอาไปเสียซึ่งทรัพย์สินที่จำเลยรู้ว่าจะถูกยึดหรืออายัดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 42นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 42 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5