คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8211/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ทั้งโจทก์สงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายไว้ด้วย ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ต่อไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2532 จำเลยยอมเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท ศาลได้พิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยพ้นวันที่ 31 กรกฎาคม 2532แล้วจำเลยไม่ยอมออกจากทรัพย์สินที่เช่าและไม่ยอมเสียค่าเช่าโจทก์ชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในคดีก่อนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกค่าเสียหายเป็นคดีใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบุตรของนางวนิดาหรือสุฐิรากลั่นประทุม โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 254โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 254/1 เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าบ้านเลขที่ 254 และ 254/1 ดังกล่าวมีกำหนดเวลาเช่า1 ปี เมื่อครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ยอมออกจากห้องเช่านางวนิดาหรือสุฐิรา กลั่นประทุม จึงฟ้องขับไล่จำเลยแทนโจทก์ทั้งสอง และได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 12710/2531 ของศาลชั้นต้นโดยยอมให้จำเลยอยู่ในห้องเช่าต่อไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2532 และจำเลยยอมเสียค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท ครั้งถึงวันที่31 กรกฎาคม 2532 จำเลยและบริวารยังไม่ยอมขนย้ายทรัพย์สินออกไปซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำห้องพิพาทไปให้ผู้อื่นเช่าซึ่งจะได้ค่าเช่าอย่างน้อยเดือนละ15,000 บาท แต่โจทก์ทั้งสองขอคิดเดือนละ 10,000 บาท โจทก์ทั้งสองได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยจำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองในอัตราเดือนละ10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2532 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา12 เดือน เป็นเงิน 120,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 120,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง และชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายออกไปจากห้องเช่า
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจนำสัญญาประนีประนอมยอมความมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำและในคดีเดิมโจทก์ทั้งสองอาจเรียกค่าเสียหายได้ การที่โจทก์ทั้งสองมาฟ้องเรียกค่าเสียหายในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ และในขณะนี้คดีเดิมก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา การนำคดีมาฟ้องจึงเป็นฟ้องซ้อนเช่นกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 120,000 บาทแก่โจทก์ และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านพิพาทจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อนและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเห็นว่า คดีเดิมเป็นเรื่องโจทก์ทั้งสองฟ้องขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์สินที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ทั้งโจทก์ทั้งสองสงวนสิทธิเรียกค่าเสียหายไว้ด้วย แต่ต่อมาโจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยโจทก์ทั้งสองยอมให้จำเลยอยู่ในทรัพย์สินที่เช่าต่อไปจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2532จำเลยยอมเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 10,000 บาทศาลได้พิพากษาตามยอม เมื่อจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความโดยพ้นวันที่ 31 กรกฎาคม 2532 แล้วจำเลยไม่ยอมออกจากทรัพย์สินที่เช่าและไม่ยอมเสียค่าเช่า โจทก์ทั้งสองชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีเอาแก่จำเลยในคดีก่อน โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ประเด็นเรื่องฟ้องซ้ำ ฟ้องซ้อนและดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองจนกว่าจะออกไปจากทรัพย์สินที่เช่านั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง

Share